นอกจากนี้ บริษัทมีแผนจะเปิดให้บริการการยืมหลักทรัพย์ (SBL) และธุรกิจอนุพันธ์อย่างเต็มรูปแบบเร็วๆนี้ และยังมีแผนที่จะสร้างทีมวิทยากรและนำกลยุทธ์การลงทุนทั้งด้านหลักทรัพย์และอนุพันธ์ ซึ่งทีมดังกล่าวจะให้ความรู้ด้านการลงทุนกับลูกค้า
นอกจากนี้ บริษัทจะพิจารณาความเหมาะสมของพื้นที่และปริมาณธุรกิรรมในแต่ละพื้นที่เป็นหลัก ซึ่งข้อได้เปรียบของบริษัท คือ การมีเครือข่ายสาขาของธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์(LHBANK)กว่า 122 สาขา ทำให้บริษัทไม่ต้องเร่งขยายสาขาเอง โดยบริษัทมีแผนเปิดสาขาเป็น 2 รูปแบบ คือ Cyber Branch ในสาขาของธนาคาร และรูปแบบ Stand alone โดยในปีนี้จะมีไม่น้อยกว่า 2 สาขาในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าสิ้นปีจะมีบัญชีลูกค้าเพิ่มเป็น 5,000 บัญชี จากปัจจุบันมี 2,500 บัญชี โดยมีบัญชีที่เคลื่อนไหวสม่ำเสมอ(Active)ทั้งหมด 583 บัญชีในปัจจุบัน เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1/58 ที่มีบัญชี Active 183 บัญชี ซึ่งการขยายฐานลูกค้าของบริษัทส่วนใหญ่จะมาจากลูกค้าของธนาคารเพราะจะมีฐานข้อมูลของลูกค้าอยู่แล้ว
ส่วนงานด้านด้านวาณิชธนกิจของบริษัทนั้นปัจจุบันมีดีลการเป็นที่ปรึกาทางการเงินให้กับลูกค้าของธนาคารที่มีความประสงค์จะออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนครั้งแรก (IPO) 4-5 ดีล ซึ่งคาดว่าจะเห็นดีล IPO แรกเข้ามาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ (mai) ในไตรมาส 2/59 ถึงไตรมาส 3/59
"ตอนนี้เราก็มีการทำดีลไอพีโออยู่ที่ทำเองตอนก่อนเราจะส่งให้หลักทรัพย์อื่นทำ แต่ตอนนี้เรามีความสามารถมากขึ้น แต่ยังคงทำแต่ FA ส่วนพวก M&A ยังไม่ได้ทำ จริงๆ เราก็อยากทำแต่คนไม่พอ ดีล IPO ดีลแรกน่าจะเห็นช่วงไตรมาส 2 ถึงไตรมาส 3 ปีหน้า ก็ต้องขึ้นอยู่กับทางบริษัทนั้นๆจะพร้อมหรือไม่ ต้องดูภาวะตลาดประกอบไปด้วย หากตลาดไม่ดีก็จะมีความเสี่ยงที่เงินระดมทุนจะได้ไม่เป็นไปตามแผน"นายกานต์ กล่าว
นายกานต์ มองว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทย(SET Index)ปีนี้คาดว่าจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 1,200-1,600 จุด เนื่องจากตลาดหุ้นไทยยังไม่มีปัจจัยบวกมาสนับสนุน ประกอบภาพรวมเศรษฐกิจที่ชะลอตัว โดยอาจจะขยายตัวไม่ถึง 3% หลังจากมีปัญหาภัยแล้งเข้ามากระทบ อีกทั้งการส่งออกยังคงติดลบ แม้ว่าเงินบาทจะอ่อนค่ามาช่วยหนุนแล้วก็ตาม
ส่วนอัตราการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนในประเทศปีนี้ (EPS Growth) คาดการณ์ไว้ที่ 7-8 % หลังแนวโน้มผลดำเนินงานไตรมาส 2/58 จะออกมาต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์ประเมินไว้ นอกจากนี้ จากภาวะที่ตลาดหุ้นไทยตกต่ำลง ทำให้บริษัทปรับลดคาดการณ์ปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันในปีนี้ลดลงเหลือเฉลี่ย 4หมื่นล้านบาทต่อวัน จากเดิมคาดว่าอยู่ที่ 4.8 หมื่นล้านบาทต่อวัน เนื่องจากนักลงทุนส่วนใหญ่ชะลอการลงทุนรอดูผลประกอบการของบริษัทฯจดทะเบียนประกอบ อีกทั้งทิศทางของกระแสเงินทุนจากต่างชาติระยะสั้นอาจจะยังไม่เห็นการไหลกลับเข้ามาซื้อ ยังหวังพึ่งการลงทุนของภาครัฐรวมไปถึงการเลือกตั้งของคณะรัฐบาล เป็นปัจจัยดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ
ด้านนายมนรัฐ ผดุงสิทธิ์ กรรมการผู้จัดการ บลจ.แลนด์ แอนด์ เฮาส์ (LH Fund) เปิดเผยว่า ภาพรวม SET Index ในปีนี้อยู่ในกรอบ 1,380-1,600 จุด โดยขณะนี้ตลาดหุ้นไทยปรับฐานลงเพราะมีปัจจัยกดดันค่อนข้างมาก เช่น การชะลอตัวของเศรษฐกิจในประเทศ โดยมองว่าปีนี้จะขยายตัวได้เพียง 2.8% จากเดิมคาดการณ์ไว้ที่ 3% เนื่องจากผลกระทบจากการส่งออกที่ยังไม่ฟื้นตัว แม้เงินบาทจะอ่อนค่ามาที่ 34.50 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯแล้วก็ตาม ประกอบกับเศรษฐกิจทั่วโลกก็ยังมีแนวโน้มที่ชะลอตัว ทำให้ภาคการส่งออกไทยไม่เติบโต นอกจากนี้การบริโภคในประเทศที่ยังคงชะลอตัวอยู่ยังส่งผลฉุดภาพรวมเศรษฐกิจอีกด้วย
“ผมมองว่าหากแบงก์ชาติจะลดดอกเบี้ยลงอีกเพื่อทำให้ค่าเงินบาทอ่อนมาอยู่ที่ 35 บาทต่อดอลลาร์ จากตอนนี้อยู่ที่ 34.5 บาทต่อดอลลาร์ ก็ไม่ช่วยให้การส่งออกดีขึ้น เพราะเราไม่มีอะไรที่จะส่งไปแล้ว ยิ่งเศรษฐกิจโลกเป็นแบบนี้ด้วยก้ไม่ช่วยการส่งออกให้ดีขึ้น ซึ่งลดดอกเบี้ยไปก็ไม่เป็นประโยชน์อะไร"นายมนรัฐ กล่าว
นอกจากนั้น การที่เศรษฐกิจไทยมีการชะลอตัวนั้นกระทบต่อการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียน (EPS Growth) ในปีนี้คาดว่าจะต่ำกว่าที่ประมาณการณ์ไว้ 15% ซึ่งประเมินว่าผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในปรนะเทศไตรมาส 2/58 นั้นที่เริ่มทยอยออกมาจะต่ำกวืที่คาดการณ์ไว้ วึ่งตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันได้สะท้อนภาพดังกล่าวไปแล้ว ราคาหุ้นส่วนใหญ่มีการปรับตัวลงตามผลการดำเนินงานที่ออกมาต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ และส่งผลต่อการปรับฐานของดัชนีตลาดหุ้นไทย
สำหรับคำแนะนำในช่วงนี้ ควรลงทุนในกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการรับเหมาก่อสร้าง ซึ่งมีปัจจัยบวกจากความคาดหวังโครงการลงทุนภาครัฐ, กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับภาคการท่องเที่ยวที่ยังได้รับประโยชน์จากการกระตุ้นการท่องเที่ยวของไทย และการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีน และ หุ้นขนาดเล็กที่มีปัจจัยพื้นฐานที่ดี รวมทั้งควรเลือกลงทุนในธุรกิจที่มีการกระจายการลงทุนไปในประเทศเพื่อนบ้านเพื่อการกระจายความเสี่ยงและเป็นโอกาสที่ดีที่สร้างการเติบโตในอนาคต