AP คาดกำไรปีนี้นิวไฮจาก 2.61 พันลบ.ปีก่อน, คงเป้ารายได้ 2.53 หมื่นลบ.

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday July 24, 2015 17:44 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์การตลาด บมจ.เอพี (ไทยแลนด์) หรือ AP เปิดเผยว่า กำไรสุทธิในปีนี้จะทำสถิติสูงสุดใหม่จากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 2.61 พันล้านบาท ซึ่งมาจากการบริหารต้นทุนการขายและบริหาร (SG&A) ที่มีประสิทธิภาพ ส่งผลให้กำไรสุทธิปรับตัวขึ้น รวมถึงอัตรากำไรสุทธิปีจะเพิ่มขึ้นเป็น 12% จากปีก่อนที่ 11.27%

ขณะที่รายได้ในปีนี้ยังคงเป้าที่ 2.53 หมื่นล้านบาท เติบโต 10% จากปีก่อนที่มีรายได้อยู่ที่ 2.32 หมื่นล้านบาท โดยปัจจุบันบริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog) อยู่ที่ 3.4 หมื่นล้านบาท โดยในปีนี้จะมีการโอนปีนี้ราว 1.6 หมื่นล้านบาท ซึ่งในไตรมาส 1/58 มีการโอนไปแล้ว 5.1 พันล้านบาท และจะมีการโอนในไตรมาส 2/58-ไตรมาส 4/58 อีก 1.12 หมื่นล้านบาท ส่วน Backlog ที่เหลือจะทยอยโอนไปถึงปี 60

"รายได้ครึ่งปีแรกก็เติบโตกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนอย่างแน่นอน รวมไปถึงกำไรครึ่งปีแรกก็เติบโตมากกว่าเปอร์เซ็นต์การเติบโตของรายได้ และทำให้กำไรในปีนี้ทำนิวไฮต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลจากการลดต้นทุน SG&A และมองว่าครึ่งปีหลังก็ยังจะดีกว่าครึ่งปีแรก"นายวิทการ กล่าว

นายวิทการ กล่าวว่า ด้านยอดขายในปีนี้ยังคงเป้าอยู่ที่ 2.83 หมื่นล้านบาท โดยปัจจุบันทำยอดขายได้แล้ว 1.8 หมื่นล้านบาท พร้อมเดินหน้าเปิดโครงการใหม่ในครึ่งปีหลังอีก 15 โครงการ รวมโครงการที่ร่วมทุนกับกลุ่มมิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป มูลค่ารวม 2.4 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นโครงการบ้านเดี่ยว 5 โครงการ มูลค่า 3.2 พันล้านบาท โครงการทาวน์เฮาส์ 6 โครงการ มูลค่า 5.49 พันล้านบาท และโครงการคอนโดมิเนียม 4 โครงการ มูลค่า 1.52 หมื่นล้านบาท

ส่วนงบซื้อที่ดินปีนี้ตั้งไว้ที่ 1 หมื่นล้านบาท ปัจจุบันใช้ไปแล้วเกือบ 50% ซึ่งบริษัทมองว่าราคาที่ดินในปัจจุบันมีการปรับเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 10% แต่ราคาที่ดินติดรถไฟฟ้าเฉลี่ยเพิ่มขึ้นปีละ 10-20% ทำให้ราคาขายโครงการอสังหาริมทรัพย์มีการปรับเพิ่มสูงขึ้นตาม ในขณะที่ค่าแรงและค่าวัสดุก่อสร้างยังคงที่

นายวิทการ กล่าวถึงกรณีลูกบ้านในโครงการบ้านกลางกรุง รัชวิภา ที่ได้รับความเสียหายจากพื้นบริเวณโครงการการทรุดตัว และเสาเข็มหัก ไปร้องเรียนกับทางสำนักงานคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) กว่า 200 หลังว่า ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการจัดตั้งนิติบุคคลเข้ามาบริหารงานในโครงการดังกล่าว เพื่อเป็นตัวกลางในการติดต่อระหว่างลูกบ้านและบริษัท เบื้องต้นบริษัทได้จ่ายค่าชดเชยให้กับลูกบ้านและซ่อมแซมพื้นที่ส่วนกลางรวมแล้ว 28 ล้านบาท แบ่งเป็น ค่าซ่อมแซมส่วนกลาง 23 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายส่วนกลาง 2-3 ล้านบาท และค่าชดเชยในการซ่อมแซมบ้านให้ลูกบ้าน 2 ล้านบาท ซึ่งผลออกมาลูกบ้านมีความพึงพอใจในการแก้ปัญหาของบริษัท และบริษัทมองปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นไม่มีผลกระทบต่อยอดขายของบริษัทอย่างแน่นอน หลังจากบริษัทมีการชี้แจงให้กับลูกค้าที่มีความไม่มั่นใจในการซื้อโครงการอย่างเข้าใจและชัดเจน "เราเข้าไปแก้ปัญหาแล้ว และอยู่ระหว่างตั้งนิติบุคคล ซึ่งโครงการบ้านกลางกรุง รัชวิภา มีการตั้งนิติบุคคลที่ล่าช้ากว่าโครงการอื่นๆ และไม่เหมือนกับคอนโดฯ แต่เราก็ชดเชยให้ลูกบ้านด้วย ส่วนยอดขายเราก็ยังมั่นใจว่าไม่กระทบ เพราะเราชี้แจงกับลูกค้าให้เข้าใจแล้ว หากเขามีความสงสัยในเรื่องคุณภาพ จะเห็นได้ว่ายอดขายโครงการแนวราบเพิ่ม 10% อีกทั้งเรามีความมั่นใจในงานบริการหลังการขายของบริษัท"นายวิทการ กล่าว

ส่วนอัตราการปฏิเสธสินเชื่อของบริษัทในปัจจุบันคงที่จากปี 57 ที่ 12% โดยอัตราการปฏิเสธสินเชื่อส่วนใหญ่เกิดจากกลุ่มลูกค้าธุรกิจเอสเอ็มอีที่มีการซื้อโครงการจำนวนมาก เนื่องจากได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ ทำให้เกณฑ์รายได้อาจจะยังไม่ผ่านเกณฑ์ธนาคาร และลูกค้าระดับล่างที่ซื้อโครงการราคา 3-5 ล้านบาท มีการปฏิเสธสินเชื่อจากธนาคารพาณิชย์อยู่บ้าง เนื่องจากธนาคารพาณิชย์มีความเข้มงวดมากขึ้น หลังจากสัดส่วนหนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้น ส่วนลูกค้าระดับบนไม่พบปัญหาการปฏิเสธสินเชื่อ

ขณะที่ภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในช่วงที่เหลือของปีจะมีการแข่งขันสูงทั้งในด้านการเปิดโครงการจากผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ทุกค่ายที่จะมีการเปิดโครงการมากขึ้น และการออกแคมเปญกระตุ้นยอดขาย โดยในส่วนของบริษัทก็จะออกแคมเปญกระตุ้นยอดขายในช่วงครึ่งปีหลังอย่างต่อเนื่อง


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ