(เพิ่มเติม) "อาซีฟา"เคาะราคา IPO ที่ 3.70 บาท ขาย 28-29,31 ก.ค.เทรด 5 ส.ค.

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday July 27, 2015 13:51 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บมจ.อาซีฟา(ASEFA)กำหนดราคาเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก(IPO)ที่หุ้นละ 3.70 บาท โดยจะเปิดให้จองซื้อในช่วงวันที่ 28-29 ก.ค. และ 31 ก.ค.นี้ และเข้าซื้อขายได้ในวันที่ 5 ส.ค.

นายสมภพ กีระสุนทรพงษ์ กรรมการผู้อำนวยการ บล.ฟินันเซีย ไซรัส ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุน ASEFA เปิดเผยว่า บริษัทเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 150 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 1 บาท ซึ่งคิดเป็น 27.27% ของจำนวนหุ้นสำมัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ โดยเสนอขายแก่นักลงทุนทั่วไปจำนวน 140 ล้านหุ้น และจัดสรรให้พนักงานกรรมการจำนวน 10 ล้านหุ้นในราคาหุ้นละ 3.70 บาท กำหนดเปิดจองซื้อระหว่างวันที่ 28-29 และ 31 ก.ค.58

ผู้จัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายเข้าร่วมอีก 7 แห่ง ประกอบด้วย บล.แอพเพิล เวลธ์, บล.โนมูระ พัฒนสิน, บล.โกลเบล็ก, บล.เคที ซีมิโก้, บล.อาร์เอชบี โอเอสเค (ประเทศไทย), บล. ทรีนีตี้, บล.เอเซีย พลัส และคาดว่าจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในวันที่ 5 ส.ค.58 โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายหลักทรัพย์ว่า “ASEFA"

การกำหนดราคาไอพีโอของ ASEFA ถือเป็นระดับราคาที่เหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งและมีความน่าสนใจ อย่างมาก มั่นใจว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน ด้วยศักยภาพของบริษัทฯ ในฐานะที่เป็นผู้นำธุรกิจผลิตและจำหน่ายสวิตซ์บอร์ดในประเทศไทย ผู้บริหารมีประสบการณ์กว่า 25 ปี รวมถึงโอกาสเติบโตในอนาคต จึงทำให้เชื่อมั่นว่า ASEFA จะได้รับความสนใจจากนักลงทุน และจะสร้างผลตอบแทนที่น่าพอใจให้กับนักลงทุน

สำหรับปัจจัยเรื่องภาวะตลาดหุ้นไม่มีความกังวลเนื่องจากปัจจัยพื้นฐานของ ASEFA มีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง อนาคตธุรกิจมีโอกาสเติบโตตามโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ทั้งโครงการรถไฟฟ้า โรงไฟฟ้า และ Data Center ซึ่ง ASEFA สามารถเข้าไปรองรับงานได้ พร้อมกันนี้จากการเดินทางไปเสนอข้อมูลแก่นักลงทุน(โรดโชว์) ใน 4 จังหวัด ประกอบด้วย อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดขอนแก่น และจังหวัดกรุงเทพมหานคร ได้รับการตอบรับจากนักลงทุนดีมาก จึงมั่นใจว่าทิศทางหุ้น IPO ยังได้รับความสนใจจากนักลงทุน

ด้านนายไพบูลย์ อังคณากรกุล กรรมการผู้จัดการ ASEFA ประกอบธุรกิจผลิต จำหน่ายและติดตั้งผลิตภัณฑ์กระจายและส่งจ่ายไฟฟ้า สวิตช์บอร์ดไฟฟ้า รางและบันไดพาดสายไฟฟ้า โคมไฟและระบบส่องสว่าง งานบริการวิศวกรรมที่เกี่ยวข้อง และงานบริการหลังการขายครบวงจร เปิดเผยว่า เม็ดเงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้จำนวน 555 ล้านบาท บริษัทจะนำไปใช้ในการขยายโรงงานพระราม 2 คาดว่าใช้เงินลงทุน 130 ล้านบาทจะสามารถเพิ่มกำลังการผลิตโรงงานโลหะได้อีก 75% เป็น 8,400 ตันต่อปี จากเดิม 4,800 ตันต่อปี

นอกจากนี้มีแผนขยายสาขาในต่างจังหวัด 10 สาขา ในต่างจังหวัด คาดว่าเงินลงทุนประมาณ 30 ล้านบาท ที่เหลือชำระคืนเงินกู้ ประมาณ 280 ล้านบาท และที่เหลือใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน ทั้งนี้การชำระคืนเงินกู้จะช่วยลดภาระดอกเบี้ย และทำให้อัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) ลดลง

ในปี 58 บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้เติบโตประมาณ 20-25% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 1,704.19 ล้านบาท โดยสัดส่วนรายได้ของบริษัทในปีนี้คาดว่าจะใกล้เคียงกับปี 57 ที่มีสัดส่วนรายได้หลักมาจากการขายผลิตภัณฑ์ที่บริษัทฯ เป็นผู้ผลิต และจำหน่าย ได้แก่ สวิตช์บอร์ดไฟฟ้า รางและบันไดพาดสายไฟฟ้า และโคมไฟส่องสว่าง เป็นต้น ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 60-70% รายได้จากการขายอุปกรณ์ไฟฟ้าที่บริษัทฯซื้อมาเพื่อจำหน่ายต่อ คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 15-20% และรายได้จากงานบริการ ได้แก่ งานบริการวิศวกรรมที่เกี่ยวข้องและงานบริการหลังการขาย ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 15% ที่เหลือเป็นรายได้อื่นๆ

สำหรับเป้าหมายรายได้ของบริษัทฯ ยังไม่รวมรายได้จากกิจการร่วมค้า อาซีฟา ซันเทค ซึ่ง AESFA ร่วมกับบริษัท ซันเทค เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด ที่เป็นโครงการรื้อถอนโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วมบางปะกงชุดที่ 1 และ 2 โดยตามกำหนดการต้องใช้รื้อถอนให้แล้วเสร็จภายในเดือน ธ.ค.58 ทั้งนี้ประมาณการรายได้จากโครงการดังกล่าว 470-600 ล้านบาท

"ASEFA กำหนดราคาเสนอขายที่ 3.70 บาทต่อหุ้น เป็นราคาที่เหมาะสม ซึ่งนักลงทุนจะได้มีส่วนลงทุนในบริษัทฯ ที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง มีการเติบโตทางธุรกิจ โดยเม็ดเงินระดมทุนจำนวน 555 ล้านบาทจะยิ่งสร้างการเติบโตทางธุรกิจจากกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น การขยายสาขาเพื่อเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่าย และการคืนเงินกู้ช่วยลดภาระทางการเงินของบริษัทฯ โดยการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนครั้งนี้เชื่อว่า ASEFA จะได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างดี"นายไพบูลย์ กล่าว

ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนในครั้งนี้ บริษัทฯจะมีทุนจดทะเบียนชำระแล้วเป็น 550 ล้านบาท โดยมีกลุ่มอังคณากรกุล เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทฯ ถือหุ้นสัดส่วนรวมทั้งสิ้น 55.54% ของทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้ว และลดลงเป็น 40.39% ภายหลังการเสนอขายหุ้น IPO


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ