สำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ บริษัทจะนำไปใช้ในการขยายโครงการ ซึ่งปัจจุบันมีโครงการอยู่ในมือ 27 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 17,000 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนา จำนวน 12 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 8,065 ล้านบาท และโครงการในอนาคตอีกจำนวน 6 โครงการ คิดเป็นมูลค่าโครงการรวมประมาณ 6,270 ล้านบาท และยอดขายที่รอรับรู้เป็นรายได้ จำนวน 5,300 ล้านบาทซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ในปี 58-59
ในช่วงที่เหลือของปีนี้บริษัทฯ เตรียมเปิดโครงการใหม่เพิ่ม คือ โครงการ ไนท์บริดจ์ ดิ โอเชียน ศรีราชา เป็นคอนโดมิเนียม 35 ชั้น มูลค่าโครงการ 2,500 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะเปิดขายโครงการดังกล่าวได้ในไตรมาส 3/58 โดยโครงการดังกล่าวได้รับวงเงินสินเชื่อจากธนาคารยูโอบีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ส่วนโครงการไนท์บริดจ์ สกายซิตี้สะพานใหม่ ติดถนนพหลโยธิน และสถานีรถไฟฟ้า BTS สายหยุด เป็นโครงการคอนโดมิเนียมสูง 15 ชั้น มูลค่า 1,340 ล้านบาท ปัจจุบันมีการเปิดขายอย่างเป็นทางการเมื่อช่วงปลายเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งขณะนี้มียอดขายแล้วกว่า 80% ของมูลค่าโครงการและคาดว่าโครงการดังกล่าวจะก่อสร้างแล้วเสร็จไตรมาส 3/60
นอกจากนี้ บริษัทได้เดินหน้ากระตุ้นยอดขายเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะยอดขายในส่วนของกลุ่มลูกค้าจากต่างประเทศ ซึ่งในช่วงเดือนก.ค. –ส.ค.นี้ บริษัทฯ จะเดินสายนำเสนอข้อมูลของโครงการอสังหาริมทรัพย์ประเภทคอนโดมิเนียมทั้งแบบอาคาร Low Rise และอาคาร High Rise ที่ประเทศสิงคโปร์ ญี่ปุ่น และจีนโดยตั้งเป้าสัดส่วนลูกค้าต่างประเทศในปี 59 เพิ่มเป็น 20% จากปัจจุบันที่มีสัดส่วนลูกค้าต่างประเทศอยู่ที่ระดับ 10%
สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทฯ มีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 55 บริษัทฯ มีรายได้รวม 192.4 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 28.6 ล้านบาทปี 56 มีรายได้รวม 418.9 ล้านบาท กำไรสุทธิ 64.2 ล้านบาท และปี 57 มีรายได้ 559.4 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 70.3 ล้านบาท ซึ่งบริษัทฯ มีอัตราการเติบโตของรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์อย่างต่อเนื่องในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา (55-57) โดยมีอัตราการเติบโตโดยเฉลี่ยต่อปี (CAGR) 69.79% ขณะที่ผลการดำเนินการในไตรมาสแรกยังสะท้อนให้เห็นถึงการเติบโตอย่างมีคุณภาพของบริษัทฯ ที่รายได้ 489.5 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 105.3 ล้านบาทเพียงไตรมาสเดียวเติบโตอย่างมีคุณภาพเมื่อเทียบกับปีที่แล้วทั้งปี
ขณะที่ภาพรวมอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ มองว่าแนวโน้มธุรกิจมีการเติบโตที่ดีขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ โดยคาดว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ปีนี้อยู่ในระดับ 3%