นายคมกฤต มีคำสัตย์ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส บล.เคที ซีมิโก้ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน เปิดเผยว่า หลังจาก TFG ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง)และยื่นคำขออนุญาตเสนอขายหุ้น IPO ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ล่าสุดสำนักงาน ก.ล.ต.ได้นับหนึ่งแบบไฟลิ่งของบริษัทฯ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
"หลังจากที่ ก.ล.ต. ได้นับหนึ่งไฟลิ่ง TFG เรียบร้อยแล้ว ได้เตรียมเดินทางโรดโชว์ให้แก่สถาบันและรายย่อย ในจังหวัดใหญ่ๆ อาทิ เชียงใหม่ หาดใหญ่ และขอนแก่น และมาปิดท้ายที่กรุงเทพฯ ในวันที่ 14 ส.ค. และหลังจากนั้นจะมีการกำหนดราคา พร้อมเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ในช่วงต้นเดือน ก.ย.ทันที"นายคมกฤต กล่าว
ทั้งนี้ TFG ยื่นคำขอเสนอขายหุ้น IPO จำนวนไม่เกิน 1,400 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 25.92% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนครั้งนี้ บริษัทจะมีทุนจดทะเบียนที่ออกและชำระแล้วเป็นจำนวน 5,400 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท
TFG เป็นผู้นำในอุตสาหกรรมอาหารครบวงจร ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านการผลิตไก่และสุกร โดยดำเนินธุรกิจทั้งในประเทศไทยและประเทศเวียดนาม ประกอบด้วย 4 สายธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจไก่ โดยบริษัทฯ ดำเนินการเพาะพันธุ์ไก่ ผลิตและจำหน่ายเนื้อไก่ ลูกไก่ ไก่พันธุ์เนื้อ ไก่พันธุ์ไข่ รวมถึงผลิตภัณฑ์แปรรูปจากเนื้อไก่ ส่วนธุรกิจสุกรจะดำเนินการเพาะพันธุ์สุกรและจำหน่ายสุกรมีชีวิต นอกจากนี้ ยังมีธุรกิจอาหารสัตว์ที่มุ่งเน้นผลิตและจำหน่ายอาหารสำหรับไก่และสุกร และธุรกิจอื่นๆ ได้แก่ ศูนย์วิจัยและพัฒนาวัคซีนและเวชภัณฑ์ ผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์สำหรับอาหารสัตว์ และอุปกรณ์ทางการเกษตรที่ทำจากพลาสติกอีกด้วย
สำหรับเงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้นครั้งนี้ บริษัทจะนำไปขยายธุรกิจไก่ สุกรและอาหารสัตว์ โดยบริษัทมีแผนการลงทุนในโรงงานผลิตไส้กรอกไก่ ปรับปรุงโรงผลิตชิ้นส่วนไก่ รวมถึงการก่อสร้างฟาร์มสุกรทวดพันธุ์ฟาร์มแห่งที่สอง ก่อสร้างฟาร์มสุกรพ่อแม่พันธุ์เพิ่มอย่างน้อย 5 ฟาร์มและลงทุนในโรงผลิตชิ้นส่วนสุกร นอกจากนี้ ยังลงทุนซื้อและ/หรือปรับปรุงเครื่องจักรและอาคารในโรงผลิตอาหารสัตว์ที่ปัจจุบันบริษัทฯ มีอยู่ 3 โรงและลงทุนในโรงผลิตอาหารสัตว์เพิ่มเติมอีก 1 โรง โดยส่วนที่เหลือนำไปชำระหนี้เงินกู้เพื่อลดต้นทุนทางการเงินและใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนต่อไป
ด้านนายวินัย เตียวสมบูรณ์กิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TFG กล่าวว่า แนวโน้มผลประกอบการของบริษัทในปีนี้รายได้จะใกล้เคียงกับปีก่อนที่ทำได้ราว 1.7 หมื่นล้านบาท แม้ว่าปริมาณการขายจะเติบโตขึ้น แต่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ราคาที่ผันผวน ส่งผลให้รายได้คงทำได้เพียงทรงตัว แต่บริษัทยังเดินหน้าขยายธุรกิจในระยะยาว เพราะเชื่อว่าผลประกอบการจะกลับมาเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง
"ปีนี้รายได้ของเราคงจะทำได้เพียงใกล้เคียงกับปีก่อนเท่านั้น แม้ปริมาณการจำหน่ายจะมากขึ้น เนื่องจากผลกระทบจากราคาที่ผวน แต่อย่างไรก็ตามในระยะยาวเราก็ยังมีการขยายกิจการอย่างต่อเนื่อง และเชื่อว่าผลประกอบการจะกลับมาเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเห็นได้จากที่ผ่านๆมา รายได้เติบโตเฉลี่ยปีละ 20-30% และหลังจากนี้เราจะเน้นการขยายตลาดไปยังต่างประเทศมากขึ้นเพื่อลดความเสี่ยง ซึ่งเราคาดว่าในปี 60-61 สัดส่วนรายได้จากต่างประเทศจะเพิ่มขึ้นเป็น 50%"นายวินัย กล่าว
บริษัทตั้งงบลงทุนในระยะ 3 ปี (58-60) ไว้ที่ราว 2.7 พันล้านบาท เพื่อใช้ในการเพิ่มฟาร์มสุกรทวดพันธุ์ 1 ฟาร์ม และฟาร์มสุกรพ่อ-แม่พันธุ์ 1 ฟาร์มภายในปี 58 และซื้อเครื่องจักรใหม่สำหรับโรงผลิตชิ้นส่วนไก่เพื่อปรับปรุงกระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เพิ่มฟาร์มสุกรพ่อ-แม่พันธุ์ 5 ฟาร์มภายในปี 60 และเข้าซื้อโรงผลิตชิ้นส่วนสุกรภายในไตรมาส 2/59 ลงทุนในโรงผลิตอาหารสัตว์ 1 โรง และปรับปรุงประสิทธิภาพในการผลิต
นอกจากนี้ บริษัทยังจะตั้งศูนย์กระจายสินค้าเพิ่มอีก 3 แห่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย เพื่อขยายช่องทางการจัดจำหน่าย และเพื่อรองรับการค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งบริษัทตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนการส่งออกเป็น 50% ในปี 60-61 จากปัจจุบันอยู่ที่ 10%
นายวินัย กล่าวว่า บริษัทได้ให้ความสำคัญกับการดำเนินงานแบบครบวงจรตั้งแต่กระบวนการเพาะพันธุ์ การเลี้ยง การผลิต การแปรรูปและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ เพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภคทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยบริษัทเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายไก่ทั้งตัวและชิ้นส่วนไก่ รวมถึงผลิตภัณฑ์แปรรูปจากเนื้อไก่ ปัจจุบัน บริษัทมีฟาร์มเพาะพันธุ์สำหรับเลี้ยงไก่พ่อแม่พันธุ์จำนวน 15 ฟาร์ม กำลังการผลิต 1,716,900 ตัว ซึ่งไม่รวมกำลังการผลิตจากเครือข่ายเกษตรกรภายใต้ระบบเกษตรแบบพันธะสัญญาที่มีมากกว่า 495 ราย จำนวน 1,200 ฟาร์ม กำลังการผลิต 3,100,000 ตัว
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีโรงฟักไข่จำนวน 6 โรง ซึ่งปัจจุบันมีกำลังผลิตประมาณ 4,900,000 ฟองต่อสัปดาห์ อีกทั้ง บริษัทยังได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อสร้างความหลากหลายของผลิตภัณฑ์และตอบสนองความต้องการของลูกค้า โดยบริษัทฯ ได้เริ่มผลิตผลิตภัณฑ์แปรรูปจากเนื้อไก่ประเภทไส้กรอกแล้วเมื่อไตรมาส 1/58 ส่งผลปัจจุบันบริษัทจึงเป็นผู้ผลิตอาหารแบบครบวงจรและยังเป็นผู้จำหน่ายเนื้อไก่รายใหญ่ของประเทศอีกด้วย
ส่วนธุรกิจสุกรนั้น บริษัทมีฐานการผลิตทั้งในประเทศไทยและเวียดนาม โดยครอบคลุมตั้งแต่การเพาะพันธุ์ การเลี้ยงเพื่อจำหน่ายสุกรมีชีวิต ซึ่งปัจจุบันมีฟาร์มสุกรทวดพันธุ์จำนวน 1 ฟาร์ม กำลังการผลิต 450 ตัว และจะขยายเพิ่มอีก 1 ฟาร์ม ที่จังหวัดสระแก้ว ขณะที่ฟาร์มสุกรปู่ย่าพันธุ์ มีจำนวน 7 ฟาร์ม ซึ่งเป็นของบริษัทฯ 3 ฟาร์ม และเช่าจากผู้อื่นอีก 3 ฟาร์ม รวมทั้งมี 1 ฟาร์มในประเทศเวียดนาม รวมกำลังการผลิตทั้งสิ้นประมาณ 8,000 ตัว
สำหรับฟาร์มสุกรพ่อแม่พันธุ์ มีกำลังการผลิต 12,000 ตัว แบ่งเป็นฟาร์มของบริษัทฯ เอง 1 ฟาร์มและเช่าอีก 5 ฟาร์ม นอกจากนี้ในประเทศเวียดนาม บริษัทยังเป็นเจ้าของฟาร์มสุกรพ่อแม่พันธุ์จำนวน 1 ฟาร์มและมีฟาร์มภายใต้ระบบเกษตรแบบพันธะอีก 2 ฟาร์ม เพื่อนำไปผลิตเป็นสุกรขุนก่อนที่จะเลี้ยงและจำหน่ายให้แก่ลูกค้าต่อไป
ขณะเดียวกัน บริษัทเลี้ยงสุกรขุนในฟาร์มภายใต้ระบบเกษตรแบบพันธะสัญญา (Contract Farms) รวม 303 ราย แบ่งเป็นในไทย 276 ราย และในเวียดนาม 27 ราย เพื่อจำหน่ายสุกรมีชีวิตให้แก่ลูกค้า โดยมีกำลังการผลิตมากกว่า 286,319 ตัว ซึ่งบริษัทฯ มีแผนจะเพิ่มกำลังการผลิตสุกรขุน 3 เท่าตัวภายในสิ้นปี 60 ผ่านรูปแบบการขยายเครือข่ายเกษตรกรให้มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้ดำเนินธุรกิจผลิตอาหารสัตว์ ที่มุ่งเน้นอาหารสำหรับไก่และสุกรเป็นหลัก มีกำลังการผลิตรวม 120,000 ตันต่อเดือนจากฐานการผลิตของโรงงานทั้ง 3 โรง เพื่อป้อนให้แก่ฟาร์มเลี้ยงไก่และสุกรของบริษัทฯ รวมถึงจำหน่ายให้แก่บุคคลภายนอก