SENA คาดแลกหุ้นบ.โซลาร์รูฟท็อปแล้วเสร็จก.ย.หวังเพิ่มสัดส่วนรายได้ปีนี้

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday August 3, 2015 15:32 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นางเกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการบริหาร บมจ.เสนาดีเวลลอปเม้นท์ (SENA) เปิดเผยว่า บริษัทจะได้ข้อสรุปและสามารถทำการแลกหุ้นกับบริษัทที่ดำเนินธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง (EPC)และวางระบบวิศวกรรมโซลาร์รูฟท็อปได้แล้วเสร็จภายในเดือนก.ย.นี้ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาและเจรจาสัดส่วนการเข้าไปถือหุ้นของทั้ง 2 ฝ่าย ซึ่งการเข้าไปถือหุ้นในบริษัทดังกล่าวจะช่วยเสริมศักยภาพการดำเนินงานเกี่ยวกับโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ของบริษัทในอนาคต และบริษัทจะมีรายได้พิเศษเสริมเข้ามาจากการรับงานติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปให้กับผู้ประกอบการรายอื่นด้วย

ปัจจุบันบริษัทดังกล่าวได้รับงานติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ซึ่งหากการแลกหุ้นแล้วเสร็จจะทำให้สัดส่วนรายได้ของธุรกิจจากพลังงานแสงอาทิตย์ของบริษัทเพิ่มเป็น 5% ในสิ้นปีนี้ จากปัจจุบันที่ยังไม่มีรายได้จากส่วนธุรกิจนี้เข้ามาอย่างมีนัยสำคัญ

ส่วนโครงการโซลาร์ฟาร์มที่บริษัทร่วมทุนกับบริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด ขณะนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้าง 48 เมกะวัตต์ จำนวน 5 แห่ง คาดว่าจะเริ่มทยอยจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ได้ภายในสิ้นปีนี้ โดยใช้เงินลงทุน 60-70 ล้านบาท/เมกะวัตต์ นอกจากนี้เมื่อกลางเดือน มิ.ย.บริษัทยังได้เริ่มจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ของโครงการโซลาร์รูฟท็อปที่ติดตั้งบนหลังคาโกดังของบริษัทที่สุขุมวิท ขนาดกำลังการผลิตไฟฟ้า 750 กิโลวัตต์ ทำให้ปีนี้จะรับรู้รายได้จากการขายไฟจากโครงการดังกล่าวเข้ามาประมาณ 3.5 ล้านบาท และในปี 59 จะรับรู้เต็มปีเป็นจำนวน 7 ล้านบาท

ทั้งนี้ สิ้นปี 58 สัดส่วนรายได้ของบริษัทจะแบ่งเป็นรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ 85% รายได้ค่าเช่า 10% และรายได้โครงการพลังงานไฟฟ้าแสงอาทิตย์ 5%

นางเกษรา กล่าวว่า ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ตั้งแต่ต้นปีบริษัทสามารถทำยอดขายได้แล้ว 2.5-2.6 พันล้านบาท ทำให้มั่นใจว่าทั้งปีจะทำได้ 4.5 พันล้านบาทตามเป้าหมาย โดยในช่วงที่เหลือของปีบริษัทจะเปิดโครงการแนวราบอีก 4-5 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 3-4 พันล้านบาท หลังจากเปิดโครการคอนโดมิเนียมเดอะนิช ไพร์ด ทองหล่อ-เพชรบุรี มูลค่า 2.23 พันล้านบาทไปแล้ววันนี้

คอนโดมิเนียมดังกล่าวมียอดจองแล้ว 20% ของยูนิตทั้งหมด 667 ยูนิต และจะเปิดพรีเซลอย่างเป็นทางการในวันที่ 8-9 ส.ค.คาดว่าจะมียอดจองเข้ามาเพิ่มอีก 20% เนื่องจากทำเลของโครงการดังกล่าวเป็นทำเลที่มีศักยภาพในกรุงเทพฯ ใกล้รถไฟใต้ดินและแอร์พอร์ตเรลลิงค์ รวมไปถึงสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ และราคาที่ขายเป็นราคาที่สามารถแข่งขันได้ โดยเริ่มต้น 2.59 ล้านบาท ขนาดห้อง 30 ตารางเมตร

ขณะที่รายได้ของบริษัทในปีนี้ยังคงเป้าหมายที่ 3 พันล้านบาท โดยคาดว่ารายได้ในครึ่งปีแรกของปี 58 จะทำได้ใกล้เคียงช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ราว 1 พันล้านบาท โดยปัจจุบันบริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog) อยู่ที่กว่า 2 พันล้านบาท ซึ่งทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้ 1 พันล้านบาท

นางเกษรา กล่าวว่า งบลงทุนเพื่อซื้อที่ดินที่ตั้งไว้ 800 ล้านบาทในปีนี้นั้น ปัจจุบันได้ใช้ไปเกือบหมดแล้ว ซึ่งบริษัทได้เข้าซื้อที่ดินส่วนใหญ่ในกรุงเทพฯและปริมณฑล ซึ่งสามารถรองรับการพัฒนาโครงการได้ในอีก 2 ปีข้างหน้า และในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้จะชะลอการซื้อที่ดิน เนื่องจากบริษัทต้องการเก็บกระแสเงินสดไว้ลงทุนโครงการในอนาคต รวมถึงบริษัทยังมีแผนที่จะเพิ่มทุนเพื่อรองรับการขยายงานในอนาคตด้วย

ล่าสุด คณะกรรมการบริษัทอนุมัติให้เพิ่มทุนจดทะเบียน 351.76 ล้านหุ้น จากทุนจดทะเบียนเดิม 882.75 ล้านหุ้น โดยแบ่งเป็นการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนให้กับผู้ถือหุ้นเดิม (RO) 262.76 ล้านหุ้น และเสนอขายให้กับบุคคลเฉพาะเจาะจง (PP) 87.59 ล้านหุ้น โดยบริษัทยังไม่ได้มีการติดต่อหรือเจรจากับนักลงทุนรายใดเป็นพิเศษเพื่อขายหุ้นเพิ่มทุน PP ให้ในขณะนี้

อีกทั้งแผนการเพิ่มทุนดังกล่าวจะต้องผ่านการอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นในเดือนกันยายนที่จะถึงนี้ ซึ่งวัตถุประสงค์หลักของการเพิ่มทุนในครั้งนี้เพื่อไว้ใช้ในการลงทุนโครงการพลังงานแสงอาทิตย์

นางเกษรา ยังกล่าวถึงภาวะตลาดอสังหาริมทรัพย์ในครึ่งปีหลังว่า การแข่งขันรุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะอสังหาริมทรัพย์ระดับบน เนื่องจากกำลังซื้อยังมีอยู่และไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวมากนัก แตกต่างจากตลาดระดับล่างราคา 1 ล้านบาทที่มีความเสี่ยงค่อนข้างมาก แต่อย่างไรก็ตาม มองว่าภาพรวมอสังหาริมทรัพย์ของไทยยังมีโอกาสเดินหน้าได้ต่อไป เพราะที่อยู่อาศัยเป็นปัจจัยสี่ แม้อาจชะลอการตัดสินใจซื้อไปบ้างในภาวะที่เศรษฐกิจไม่ดี ประกอบกับปัจจุบันผู้บริโภคนิยมซื้อที่อยู่อาศัยเพิ่มมากกว่า 1 แห่ง ยังเป็นปัจจัยหนุนต่อตลาด


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ