นายสมจินต์ ศรไพศาล กรรมการผู้จัดการ บลจ.ทหารไทย กล่าวว่า มูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารในปีนี้และปีหน้าจะเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับ 1.9 แสนล้านบาทในปีก่อน ซึ่งเป็นการเติบโตมาจากกองทุน 3 รูปแบบหลัก ได้แก่ กองทุนตราสารหนี้ ระยะสั้น-ระยะกลาง ที่มีการเลือกลงทุนทั้งในและต่างประเทศ, กลุ่มกองทุนรวม FIF ซึ่งเป็นกองทุนที่มีนโยบายลงทุนในต่างประเทศ โดยเลือกประเทศที่ให้ผลตอบแทนดี และกลุ่มกองพร็อพเพอร์ตี้ ที่มีการเลือกลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และโครงการโครงสร้างพื้นฐานทั้งในและต่างประเทศ
นายสมจินต์ กล่าวว่า ส่วนมุมมองตลาดหุ้นไทยในช่วงที่ผ่านมานับว่าเป็นช่วงการปรับฐาน ตามการประมาณการของหลายๆฝ่ายที่คาดว่าการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียน(บจ.)จะปรับตัวลดลง แต่อย่างไรก็ตามเชื่อว่าระยะยาวการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียนยังสามารถเติบโตในระดับเฉลี่ยที่ 8-12% และมีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นไปเป็น 10-12% ทำให้มองว่าระดับดัชนีในปัจจุบันถือว่าราคาไม่แพง และช่วงที่มีความเหมาะสมในการเข้าซื้อหุ้นสะสม โดยเชื่อว่าการลงทุนภาครัฐจะเริ่มเห็นได้ชัดเจนมากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง
สำหรับการประชุมของคณะกรรมการนโยบายทางการเงิน (กนง.) ในวันที่ 5 ส.ค.นี้ คาดว่ากนง.อาจจะเลือกคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 1.50% หรือมีโอกาสปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง ซึ่งหากดูจากสถานการณ์เศรษฐกิจที่ยังชะลอตัว และราคาสินค้าเกษตรที่ตกต่ำ จึงมีความเป็นไปได้ที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง
"เรามองว่าระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปัจจุบันก็ถือว่าเหมาะสม และสามารถประคองเศรษฐกิจไทยได้แล้ว แต่อย่างไรก็ตามด้วยสถานการณ์เศรษฐกิจที่ยังชะลออยู่ และราคาสินค้าเกษตรที่ตกต่ำ ก็อาจจะมีโอกาสที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง โดยเราเชื่อว่าทาง กนง.จะมีการประเมินสถานการณ์ต่างๆและตัดสินอย่างเหมาะสม"นายสมจินต์ กล่าว
ด้านนายไพศาล ครุฑดำรงชัย รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายที่ปรึกษาการลงทุน บลจ.ทหารไทย กล่าวว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีหลังว่าจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 1,400 -1,500 จุด
อย่างไรก็ตามหากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐมีความชัดเจน เชื่อว่าดัชนีหุ้นไทยก็มีโอกาสที่จะทะลุ 1,500 จุดขึ้นไป โดยมองว่าช่วงที่เหลือของปีนี้การเคลื่อนไหวของดัชนีจะไม่หวือหวา เพราะยังมีปัจจัยภายในประเทศที่กดดันอยู่ทั้งเรื่องปัญหามาตรฐานการบิน และการประมง นอกจากนี้ยังต้องติดตามการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)ที่อาจจะมีผลต่อการไหลออกของเงินทุนต่างชาติ แต่เชื่อว่าจะไม่เป็นผลกระทบมากนัก เนื่องจากปัจจุบันเงินทุนต่างชาติเหลืออยู่ในไทยไม่มากแล้ว
ทั้งนี้ แนะนำนักลงทุนเข้าลงทุนในช่วงเดือนก.ย. หลังจากที่มีความชัดเจนเรื่องอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯแล้ว โดยให้ทยอยสะสมหุ้นที่ระดับดัชนี 1,400 จุด สำหรับนักลงทุนระยะยาวที่ต้องการลดหย่อนภาษีแนะลงทุนกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ(RMF) และกองทุนรวมหุ้นระยะยาว(LTF) เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงทั้งในและต่างประเทศ สำหรับตลาดต่างประเทศที่น่าสนใจอาทิ ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ยุโรป ที่มีมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ(QE)ก่อนหน้านี้ และตลาดหุ้นเอเชียที่ P/E อยู่ในระดับต่ำ