นายอภินันท์ เกลียวปฏินนท์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานธุรกิจธนาคารพาณิชย์ KKP ระบุว่า การปล่อยสินเชื่อปี 58 คาดว่าน่าจะอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปีก่อน เนื่องจากครึ่งปีแรกสินเชื่อหดตัวถึง 5% เป็นผลจากเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัว ขณะที่พอร์ตสินเชื่อของธนาคารส่วนใหญ่ในสัดส่วน 67% จะเป็นสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ใหม่ที่ยังคงชะลอตัวต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม ธนาคารคาดหวังครึ่งปีหลังนี้สินเชื่อรถยนต์จะกลับมาเป็นบวกได้ หลังจากรัฐบาลประกาศปรับโครงสร้างภาษีรถยนต์ใหม่ที่จะเริ่มใช้ในปี 59
นอกจากนั้น บริษัทจะเน้นสินเชื่ออื่นๆ เพิ่มมากขึ้น เช่น สินเชื่อธุรกิจ ที่จะเข้าไปร่วมแก้ไขปัญหาทางธุรกิจให้กับบริษัทต่าง ๆ รวมถึงการปรับโครงสร้างหนี้ และสินเชื่อสายบริหารหนี้ก็จะมีการพิจารณาขายสินทรัพย์อย่างต่อเนื่อง ส่วนสินเชื่อบรรษัท หรือ การปล่อยสินเชื่อให้ SMEs คาดว่าสิ้นปีจะมียอดการปล่อยสินเชื่อราว 20,000 ล้านบาท จากครึ่งปีแรกมียอดอยู่ที่ 5,780 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยให้ครึ่งปีหลังสินเชื่อน่าจะเติบโตดีกว่าครึ่งปีแรก
"ในไตรมาส 1/58 เราจะเน้นธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อเป็นหลัก ทำให้ได้รับผลกระทบพอสมควรจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ซึ่งไม่ใช่แค่เราแต่ทุกอุตสาหกรรมก็โดนกระทบกันหมด โดยครึ่งปีหลังนี้เราจะดำเนินธุรกิจในส่วนอื่นมากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงจากตรงนี้ คาดว่าปลายปีระดับสินเชื่อจะใกล้เคียงปีก่อน และครึ่งปีหลังนี้สินเชื่อน่าจะดีกว่าครึ่งปีแรกได้"นายอภินันท์ กล่าว
ส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ปีนี้คาดว่าจะควบคุมไม่ให้เกิน 6% จากไตรมาส 2/58 อยู่ที่ 6.9% โดยธนาคารเชื่อว่า NPL ในกลุ่มสินเชื่อเช่าซื้อและสินเชื่อธุรกิจจะดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง เห็นได้จาก ณ สิ้นงวด 6 เดือนแรกหนี้เสียของสินเชื่อเช่าซื้ออยู่ที่ 3.0% ลดลงจาก 3.2% ในไตรมาส 1/58 โดยมีสัญญาณทางบวกจากตลาดรถยนต์มือสองที่ดีขึ้นเป็นปัจจัยหนุน ขณะที่สินเชื่อบรรษัทอาจได้รับผลกระทบเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีการปล่อยสินเชื่อเพิ่มขึ้นให้กับธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
อย่างไรก็ตาม กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทรได้กำหนดทิศทางในการดำเนินธุรกิจที่ชัดเจน โดยมุ่งเน้นใน 3 ด้าน คือการเป็น Credit House ที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งล่าสุดได้ร่วมกับบรรษัทเงินทุนระหว่างประเทศ (ไอเอฟซี) ธนาคารไทยสองแห่งและไอเอ็นจี ปล่อยกู้ให้กับ PRASAC ไมโครไฟแนนซ์รายใหญ่ที่สุดในกัมพูชา และการรุกธุรกิจ Private Banking อย่างจริงจัง โดยอาศัยความเชี่ยวชาญของ บล.ภัทร และฐานลูกค้าของธนาคารเกียรตินาคิน
ที่ผ่านมาได้มีการพัฒนาเครือข่ายสาขาธนาคารให้มีรูปแบบการบริหารที่เหมาะสมสำหรับกลุ่มลูกค้า ณ สิ้นไตรมาส 2/58 มีจำนวนทั้งสิ้น 63 สาขา อีกทั้งพัฒนาและยกระดับ Flagship Branch 4 แห่ง คือ เซ็นทรัลเวิลด์ เยาวราช อโศก และทองหล่อ ให้เป็น Financial Hub ที่มีผลิตภัณฑ์และการบริการของกลุ่มธุรกิจฯ อย่างครบถ้วน ซึ่งจะทยอยเปิดสาขาใหม่ต่อไป สุดท้ายคือการรักษาความเป็นผู้นำในธุรกิจ Investment Banking ซึ่งเป็นธุรกิจเดิมและเป็นผู้นำในธุรกิจนี้ ส่วนใหญ่กลุ่มลูกค้าจะเป็นบริษัทขนาดกลาง-ใหญ่ของประเทศ รวมถึงให้บริการด้านการซื้อหุ้นให้กับนักลงทุนสถาบันทั้งในประเทศและต่างประเทศ
นายกฤติยา วีรบุรุษ ประธานธุรกิจตลาดทุน กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ทุนภัทร และ บล.ภัทร กล่าวว่า ประเมินดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทย(SET Index)ปีนี้จะอยู่ที่ระดับ 1,440 จุด บนสมมติฐาน EPS Growth 97.3 บาท/หุ้น และ P/E ที่ 14.6 เท่า โดยมีปัจจัยสำคัญคือเศรษฐกิจในประเทศยังไม่ฟื้นตัวดีนัก โดยเฉพาะภาคการส่งออก และการลงทุนภาครัฐที่ยังล่าช้า ประกอบกับ เกิดสถานการณ์ภัยแล้ง โดย บล.ภัทร คาดว่าปีนี้เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวราว 2.5% ขณะที่มูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน ณ สิ้นปีจะอยู่ที่ 3.8 หมื่นล้านบาท
ขณะที่ปัจจัยภายนอกยังน่าเป็นกังวล คือ เศรษฐกิจจีน ซึ่งหากจีนลดค่าเงินหยวนก็อาจส่งผลกระทบต่อค่าเงินบาทให้ปรับตัวอ่อนค่าลงไปถึง 36.00 บาท/ดอลลาร์ในปี 59 ได้ ส่วนปัจจัยภายในประเทศยังต้องรอการลงทุนภาครัฐบาลให้มีความชัดเจน เพื่อช่วยหนุนเศรษฐกิจและ Sentiment การลงทุนในประเทศฟื้นตัวดีขึ้น
บล.ภัทร แนะนำจัดพอร์ตลงทุน แบ่งเป็นการลงทุนในตลาดหุ้นไทย และอีกส่วนลงทุนในตลาดอื่น เช่น ญี่ปุ่นและสหรัฐที่เศรษฐกิจแข็งแรงดีขึ้น นอกจากนั้น ควรเน้นการลงทุนในบริษัทที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศลุ่มแม่น้ำโขง เช่น บริษัทรับเหมา-ก่อสร้าง หรือ โรงไฟฟ้า และกลุ่มสื่อสารที่ได้ประโยชน์จาก 4G