ขณะเดียวกันในครึ่งปีหลังบริษัทเตรียมเปิดอีก 7 โครงการใหม่ ซึ่งรวมถึงโครงการร่วมทุนด้วย โดยมีมูลค่าโครงการรวม 2.03 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียมทั้งหมด แบ่งเป็น การเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ 4 โครงการ ในไตรมาส 3/58 มูลค่า 1.1 หมื่นล้านบาท และเปิดโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ในไตรมาส 4/58 จำนวน 3 โครงการ มูลค่า 9.23 พันล้านบาท โดยช่วงครึ่งปีแรกบริษัทได้เปิดโครงการใหม่ไปแล้ว 6 โครงการ มูลค่ารวม 1.55 หมื่นล้านบาท ทำให้ทั้งปีนี้บริษัทจะเปิดโครงการใหม่ทั้งหมด 13 โครงการ มูลค่ารวม 3.58 หมื่นล้านบาท ขณะที่มีมูลค่าโครงการเหลือขาย ณ สิ้น 30 มิ.ย. 58 อยู่ที่ 1.97 หมื่นล้านบาท
ส่วนมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) ในครึ่งปีแรกอยู่ที่มากกว่า 3.4 หมื่นล้านบาท จากโครงการทั้งแนวราบและคอนโดมิเนียม ซึ่งส่วนใหญ่จะทยอยรับรู้รายได้ในปี 59-60 และบางส่วนจะรับรู้ต่อเนื่องในปี 61 ขณะที่ในช่วงครึ่งปีหลังจะทยอยโอนโครงการอีก 7-8 พันล้านบาท ได้แก่ โครงการไอดีโอสาทร-ท่าพระที่มีการทยอยโอนต่อเนื่อง และโครงการโอนใหม่อีก 2 โครงการที่เริ่มทยอยโอนในไตรมาส 3/58 ทั้งโครงการไอดีโอ วุฒากาศ และโครงการไอดีโอ โมบิ จรัญ-อินเตอร์เชนจ์ ทำให้บริษัทมั่นใจว่ารายได้ในปีนี้จะทำได้ตามเป้าหมายที่ 1.14 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีรายได้อยู่ที่ 1.05 หมื่นล้านบาท ด้านงบซื้อที่ดินที่ตั้งไว้ 1 หมื่นล้านบาท ในปีนี้ ปัจจุบันได้ใช้ไปแล้ว 6-7 พันล้านบาท
นายชานนท์ กล่าวว่า สำหรับภาวะอสังหาริมทรัพย์กรุงเทพฯในช่วงที่ผ่านมาสามารถฟื้นตัวขึ้นได้ค่อนข้างดี ส่งผลให้ช่วงครึ่งปีหลังของปี 58 จะมีทิศทางที่ดีขึ้น ประกอบกับปัจจัยสำคัญต่างๆที่ช่วยพยุงตลาดอสังหาริทรัพย์ไว้ คือ การมีอุปสงค์และอุปทานในตลาดที่สมดุลค่อนข้างดีและสถานการณ์ทางการเมืองกลับมามีเสถียรภาพมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตามการแข่งขันในช่วงครึ่งปีหลังจะมีความรุนแรงมากขึ้น เนื่องจากผู้ประกอบการหลายรายเปิดโครการใหม่เป็นจำนวนมากในครึ่งปีหลัง
โดยระดับราคาอสังหาริมทรัพย์ที่ยังมียอดขายที่ดีในปีนี้มี 2 ระดับราคา คือ ระดับราคา 3-5 ล้านบาท ซึ่งเป็นกลุ่มที่มียอดขายในช่วงครึ่งปีแรกเพิ่มขึ้นเป็น 65% จาก 42% ในช่วงเดียวกันของปีก่อน และระดับราคา 5-10 ล้านบาท เป็นกลุ่มที่มียอดขายในครึ่งปีแรกเพิ่มขึ้นเป็น 58% จาก 32% ในช่วงเดียวกันของปีก่อน บ่งชี้ว่าอสังหาริมทรัพย์ระดับกลาง-บนยังมีทิศทางที่ค่อนข้างดี ในภาวะที่เศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวขึ้นดีมากนัก
ส่วนอัตราการปฏิเสธสินเชื่อของบริษัทในปัจจุบันอยู่ที่ 14% ทรงตัวจากสิ้นปี 57 แบ่งเป็นอัตราการปฏิเสธสินเชื่อของคอนโดมิเนียม 8% ทรงตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และอัตราการปฏิเสธสินเชื่อของโครงการแนวราบ 30% ทรงตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนเช่นเดียวกัน แต่แนวโน้มโครงการระดับล่างของบริษัท อย่างโครงการยูลิโอนั้น บริษัทได้ให้ความระมัดระวังมากขึ้น เพื่อให้การกู้ของลูกค้าสามารถกู้ผ่านได้ เนื่องจากปัจจุบันธนาคารพาณิชย์มีความเข้มงวดมากขึ้นในการให้สินเชื่อ