ประกอบกับ ช่วงปลายปีนี้จะมีรายได้จากการขายไฟฟ้าและไอน้ำให้กับโครงการฟีนอล 2 ของกลุ่ม บมจ.ปตท.(PTT)ซึ่งจะซื้อไฟฟ้าจากบริษัท 11 เมกะวัตต์ และไอน้ำ 131 ตัน/ชั่วโมง คาดว่าจะสร้างรายได้ให้กับบริษัทปีละ 1.8 พันล้านบาท หรือราว 7% ของรายได้รวม
ขณะที่ บริษัทเตรียมงบลงทุนราว 1.8 หมื่นล้านบาทรองรับการขยายกำลังผลิตไฟฟ้าเป็น 2.8 พันเมกะวัตต์ภายในปี 63 จากปัจจุบันที่มีกำลังการผลิตตามสัดส่วนร่วมทุนที่เดินเครื่องผลิตแล้ว 1.3 พันเมกะวัตต์ และอยู่ระหว่างก่อสร้างอีก 500 เมกะวัตต์ ส่วนที่เหลืออีก 1 พันเมกะวัตต์จะมาจากการลงทุนใหม่ๆ และการเข้าซื้อกิจการ หรือร่วมลงทุน ซึ่งจะผลักดันให้รายได้ของบริษัทในช่วง 5 ปีข้างหน้าโตเฉลี่ยปีละ 16-17% หรือมีกำลังการผลิตไฟฟ้าเพิ่มปีละ 200 เมกะวัตต์
ทั้งนี้ ตามแผนกำลังการผลิตใหม่ที่จะเพิ่มขึ้นอีกราว 1 พันเมกะวัตต์นั้นจะมาจากโครงการศูนย์ผลิตสาธารณูปการแห่งที่ 4(CUP4)ใน จ.ระยอง ที่มีกำลังการผลิตไฟฟ้า 40 เมกะวัตต์ และไอน้ำราว 70 ตัน/ชั่วโมงที่จะเข้าระบบภายในปี 60 แต่โครงการดังกล่าวได้จัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม(EIA)ไว้มากกว่า 300 เมกะวัตต์ ซึ่งจะทำให้สามารถขยายงานได้อีกในอนาคต, โครงการโรงไฟฟ้าขยะ ขนาด 8-9 เมกะวัตต์ใน จ.ระยอง น่าจะได้รับอนุญาตและหาผู้รับเหมาก่อสร้างได้ภายในไตรมาส 4/58 คาดว่าจะใช้เงินลงทุนราว 800-900 ล้านบาท
นอกจากนี้ บริษัทยังอยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรในโครงการผลิตไฟฟ้าจากไบโอแมส 2 โครงการ ขนาดแห่งละ 9 เมกะวัตต์ ได้แก่ โครงการที่ จ.สุราษฎร์ธานี คาดว่าจะลงนามสัญญาร่วมทุนกับพันธมิตรได้ในไตรมาส 4/58 และโครงการในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทั้งสองโครงการเป็นโครงการได้ยื่นเสนอขายไฟฟ้าในระบบ adder เดิม ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อเตรียมทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้า
นายนพดล กล่าวอีกว่า บริษัทยังมองหาโอกาสการทำธุรกิจบริหารจัดการน้ำดิบและน้ำอุตสาหกรรมในอนาคตด้วย โดยคาดว่าจะเป็นความร่วมมือกับบริษัท ยูนิเวอร์แซล ยูทีลิตี้ส์ จำกัด(UU)ซึ่งเป็นบริษัทลูกของบมจ.จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก (ESATW)