ขณะที่วันนี้ ได้เปิดสาขาแห่งที่ 6 ซึ่งเป็นสาขาเขตมีนบุรี กรุงเทพฯ ด้วยงบลงทุนกว่า 500 ล้านบาท โดยเป็นศูนย์รวมสินค้าบ้าน และวัสดุก่อสร้างที่ครบวงจรที่สุดของเขตมีนบุรีที่แตกต่างและเหนือกว่าคู่แข่งรอบด้าน พร้อมบริการจัดส่งสินค้าฟรี รับรองตอบสนองและเข้าถึงความต้องการของผู้รับเหมา ช่างในแต่ละประเภท เจ้าของโครงการ เจ้าของบ้าน และร้านค้าช่วง ได้อย่างครบครัน
โดยมีหมวดสินค้าไว้บริการทั้งหมด 4 หมวดใหญ่ ได้แก่ วัสดุก่อสร้าง (Construction Materials) สินค้างานระบบ และวัสดุอุปกรณ์ตกแต่งและซ่อมแซม (System & finishing & Improvement Materials) สินค้าตกแต่งและเครื่องใช้ไฟฟ้า (Furnishing Materials & Home Electric) และเครื่องใช้ในครัวเรือน (Household, Houseware, Stationery and Giftshop) อีกหนึ่งจุดเด่นของเมกาโฮม ที่แตกต่างจากโฮมเซ็นเตอร์แบรนด์อื่นคือ นอกจากสินค้าบ้านและวัสดุก่อสร้างที่ครบครันแล้ว ยังมีกลุ่มสินค้าสำเพ็ง กลุ่มสินค้าตลาดไม้บางโพ กลุ่มสินค้าคลองถม ให้เลือกจับจ่ายทั้งในราคาส่งและปลีก
ไฮไลท์สำคัญสำหรับสาขาน้องใหม่ คือการยกทัพสินค้าที่ตอบสนองธุรกิจร้านอาหาร ส่งต่อให้กับร้านค้าย่อย SME ด้วยราคาพิเศษ จากแบรนด์ผู้ผลิตชั้นนำอย่าง ภัทรา พันธมิตรใหม่ป้ายแดง มาจำหน่ายในราคาโรงงาน ลดกระหน่ำ สูงสุดถึง 50% เช่น ถ้วย จาน ชาม ผลิตภัณฑ์ชุดอาหารกระเบื้องเคลือบพอร์ซเลน
เมกา โฮม ที่มีผู้ถือหุ้นใหญ่คือ โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ ศูนย์รวมวัสดุและอุปกรณ์ตกแต่งบ้านครบวงจรอันดับหนึ่งของเมืองไทย จึงได้นำเอาระบบการบริหารงานแบบมืออาชีพและความชำนาญในธุรกิจ จากบริษัทฯ แม่ ส่งต่อยังบริษัทลูก เนื่องจากคลิกกลยุทธ์การบุกเบิกสาขาที่ต่างจากคู่แข่ง ด้วยโมเดลการหาทำเล 3 รูปแบบ คือ การเปิดสาขาบริเวณปริมณฑล การเปิดสาขาบริเวณชายแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้าน และการเปิดสาขาบริเวณนิคมอุตสาหกรรม เป็นเกมในการท้ารบที่ทำได้อย่างถูกทาง
"ส่วนสาขาที่ 6 แห่งนี้ ก็ยังเชื่อว่าจะเป็นสาขาน้องใหม่ที่ทำเงินให้ได้ไม่แพ้สาขาที่เปิดไปก่อนหน้านี้ เพราะได้มีการคัดเลือกสินค้าที่ตรงตามใจกับกลุ่มเป้าหมายที่อยู่ในพื้นที่ ซึ่งเป็นแนวทางการทำตลาดเราตีโจทย์แตกมาโดยตลอด และทำควบคู่ไปกับการเทคแคร์ บริการที่มาจากใจ ที่สำคัญสนนราคาถูก เสิร์ฟสินค้าคุณภาพดี ทำให้ลูกค้าจ่ายง่ายโดยไม่ต้องลังเล"นางสุพรศรี กล่าว
นางสุพรศรี กล่าวอีกว่า สำหรับผลประกอบการครึ่งปีแรก 2558 เมกา โฮม มีผลงานน่าพอใจ สามารถทำยอดขายเติบโตประมาณ 7% และช่วงครึ่งปีหลังยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง คาดว่าจะเติบโตประมาณ 10% โดยทิศทางครึ่งปีหลังจะเน้นขยายกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย จากปัจจุบัน สัดส่วนลูกค้ากลุ่มช่าง : ลูกค้าทั่วไป เท่ากับ 70 : 30
สำหรับแผนการตลาดต่อจากนี้จะหันมาเน้นขยายฐานลูกค้าเจ้าของโครงการ เจ้าของโรงงานที่เป็นผู้ประกอบการรายกลางและรายเล็กหรือกลุ่มธุรกิจเอสเอ็มอีมากขึ้น เนื่องจากตลาด ณ ปัจจุบัน การใช้วัสดุก่อสร้างและของตกแต่งบ้าน คอนโด จะเติบโตในรอบนอกหรือต่างจังหวัดเป็นหลัก โหมไปที่งานก่อสร้างตึก ผุดคอนโดฯ ซึ่งมีประมาณ 100-200 ห้อง หรืออพาร์ตเมนต์ราว 40-80 ห้อง ส่วนใหญ่แล้วล้วนเป็นผู้ประกอบการระดับเอสเอ็มอีทั้งสิ้น