ทั้งนี้ บริษัทมีวัตถุประสงค์ในการระดมทุนเพื่อใช้ในการสร้างโรงงานแห่งใหม่ซึ่งตั้งอยู่ภายในนิคมอุตสาหกรรมโรจนะ ลงทุนซื้อเครื่องจักรในสายการผลิตใหม่ด้วยเทคโนโลยีการผลิตระดับสากลและเพิ่มเงินทุนหมุนเวียน ของบริษัทฯ เพื่อเพิ่มปริมาณการส่งออกผลิตภัณฑ์ไปยังตลาดหลักในเอเชีย
TKN เป็นผู้บุกเบิกในการผลิตและจำหน่ายขนมขบเคี้ยวประเภทสาหร่ายแปรรูปแบบครบวงจร ภายใต้แบรนด์“เถ้าแก่น้อย"และเป็นผู้นำอันดับ 1 ในตลาดมา โดยตลอด ด้วยส่วนแบ่งตลาดในประเทศสูงถึง 62% โดยผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ 4 ประเภทหลัก ได้แก่ สาหร่ายทอด สาหร่ายเทมปุระ สาหร่ายอบ และสาหร่ายย่าง
นายเล็ก สิขรวิทย กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท ที่ปรึกษา เอเซีย พลัส ที่ปรึกาทางการเงินของ TKN กล่าวว่า TKN จะสามารถขายหุ้น IPO และเข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาด SET ได้ภายในเดือนกันยายนปีนี้ หลังจากทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.)นับ 1 แบบแสดงข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์(ไฟลิ่ง)แล้ว โดยคาดว่าจะใช้ระยะเวลา 45 วันในการอนุมัติไฟลิ่งของบริษัท
"เถ้าแก่น้อยฯ เป็นผู้บุกเบิกและผุ้นำตลาดขนมขบเขี้ยวจากสาหร่ายแปรรูปแบรนด์เถ้าแก่น้อยที่ส่วนแบ่งตลาดในประเทสสูงถึง 62% และมีโอกาสในการเติบโตในตลาดต่างประเทศได้สูง โดยผู้บริหารของบริษัททุกท่านมีความมุ่งมั่นในการขยายตลาดให้เป็นแบรนด์ที่มีชื่อเสียงในระดับโลกจากปัจจุบันเป็นแบรนด์ที่มีชื่อเสียงอยู่ในระดับเอเชีย และจะมีการต่อยอดธุรกิจในอนาคตอีก"นายเล็ก กล่าว
อนึ่ง ณ วันที่ 30 มิ.ย.58 TKN มีทุนจดทะเบียน 345,0000,000 บาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท เป็นทุนที่ชำระแล้ว 255,000,000 บาท ภายหลังจากการนำเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชน 90,000,000 หุ้นในครั้งนี้บริษัทจะมีทุนเรียกชำระเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนเท่ากับ 345,000,000 บาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 345,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท
กลุ่มผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท ประกอบด้วย กลุ่มพีระเดชาพันธ์ ถือหุ้นรวม 100% หลังการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้แล้วสัดส่วนการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นรายใหญ่จะเปลี่ยนเป็นกลุ่มพีระเดชาพันธ์ถือหุ้น 74% หรือ 255 ล้านหุ้น และประชาชนทั่วไป 26% โดยการเสนอการขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ในครั้งนี้มี บล.เอเซีย พลัส เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย
นายอิทธิพัทธ์ พีระเดชาพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TKN เปิดเผยว่า การระดมทุนครั้งนี้บริษัทมีวัตถุประสงค์ที่จะนำเงินไปใช้ลงทุนขยายกำลังการผลิตโรงงานแห่งใหม่ที่ตั้งอยู่ภายในตสวนอุตสาหกรรมโรจนะ พื้นที่ 19 ไร่ แบ่งออกเป็น 3 เฟส ขนาดกำลังผลิตรวม 3,600 ตันต่อปี โดยใช้เงินลงทุนรวมค่าที่ดิน ค่าก่อสร้าง และค่าเครื่องจักร 580 ล้านบาท ปัจจุบันอยู่ระหว่างการก่อสร้างโรงงานคาดว่าจะแล้วเสร็จและเดินสายการผลิตเชิงพาณิชย์ได้ภายในปลายปี 59
"บริษัทเล็งเห็นโอกาสการเติบโตอย่างสูง จึงได้ลงทุนสร้างโรงงานเพิ่มอีก เพื่อรองรับการส่งออกโดยเฉพาะ ซึ่งโรงงานใหม่นี้ได้รับสิทธิพิเศษยกเว้น ภาษีจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนสูงถึง 7 ปี ซึ่งจะทำให้บริษัทฯ สามารถเพิ่มกำลังการผลิต สาหร่ายแปรรูปได้ถึง 100% นอกจากนี้บริษัทฯ ได้จำหน่ายข้าวโพดอบกรอบพรีเมี่ยมภายในชื่อว่า“ต๊อบคอร์น"และข้าวโพดอบกรอบแบบซองภายใต้ชื่อว่า“เถ้าแก่ป๊อป"และบริษัทยังมีแผนมุ่งพัฒนาสินค้าสแน็กตัวอื่นๆ ที่แปลกใหม่และตรงต่อความต้องการของผู้บริโภค"นายอิทธิพัทธ์ กล่าว
ปัจจุบัน บริษัทมีโรงงานแห่งเดียวที่ลาดหลุมแก้ว พื้นที่ 12 ไร่ ขนาดกำลังการผลิต 3,900 ตันต่อปี ซึ่งกำลังการผลิตของโรงงานดังกล่าวไม่เพียงพอรองรับออเดอร์ของลูกค้าที่เข้ามามากขึ้น ทำให้จำเป็นต้องขยายโรงงานแห่งใหม่ ประกอบกับ ช่วยให้บริษัทเกิดการประหยัดต่อขนาด (Economy of scale)
นอกจากนั้น เงินที่ได้จากการระดมทุนอีกส่วนหนึ่งจะนำไปชำระหนี้เงินกู้ธนาคารพาณิชย์บางส่วน โดยจะทำให้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E)ลดลงเหลือ 1.3 เท่า จากปัจจุบันที่ 2.62 เท่า ซึ่งช่วยให้บริษัทมีต้นทุนดอกเบี้ยเงินกู้ธนาคารลดลง และส่วนที่เหลือจะใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน
นายอิทธิพัทธ์ กล่าวว่า การที่บริษัทมีการขยายกำลังการผลิตเพิ่มช่วยให้มีการประหยัดต่อขนาดและนำเงินมาชำระคืนหนี้ธนาคารพาณิชย์จะช่วยส่งผลดีต่ออัตรากำไรสุทธิของบริษัทที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 10% ในอีก 1-2 ปีข้างหน้าจากปัจจุบันอัตรากำไรสุทธิของบริษัทอยู่ที่ 7-8% ประกอบกับการขยายตลาดไปต่างประเทศเพิ่มขึ้น โดยสัดส่วนรายได้จากการส่งออกจะเพิ่มเป็นมากกว่า 50% ภายในอีก 1-2 ปีข้างหน้า 43% ซึ่งมีการการส่งออกไปทั้งหมด 35 ประเทศทั่วโลก
อย่างไรก็ตาม บริษัทตั้งเป้าภายในอีก 10 ปีข้างหน้าจะมีการส่งออกไปต่างประเทศเพิ่มเป็น 100 ประเทศทั่วโลก เพื่อยกระดับบริษัทเป็นแบรนด์ที่มีชื่อเสียงระดับโลก(Global Brand)โดยจะมีการเปิดตลาดในประเทศใหม่ๆ อย่างน้อยไตรมาสละ 1-2 ประเทศ ซึ่งยังคงเน้นตลาดส่งออกในภูมิภาคเอเชียเป็นหลัก ขณะที่ตั้งเป้ายอดขายแตะ 1 หมื่นล้านบาทภายในอีก 10 ปีข้างหน้า จาก 5 พันล้านยบาทภายในปี 61
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่ายอดขายในปีนี้จะเติบโต 15% จากปีก่อนที่มียอดขาย 2.72 พันล้านบาท
นายอิทธิพัทธ์ กล่าวว่า บริษัทรุกขยายธุรกิจส่งออกอย่างต่อเนื่องในกว่า 35 ประเทศ ทำให้ธุรกิจเติบโตที่มั่นคงและต่อเนื่อง โดยในงวดปี 57 มีรายได้รวม 2,726 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 199 ล้านบาท โดยมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 55% เมื่อเทียบกับปี 56 ซึ่งบริษัทฯ มีรายได้รวม 2,721 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 128 ล้านบาท และปี 55 ซึ่งบริษัทมีรายได้รวม 2,542 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 105 ล้านบาท
ส่วนในไตรมาส 1/58 มีรายได้รวม 702 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 51 ล้านบาท โดยกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 71% เมื่อเทียบกับ ไตรมาส 1/57 ที่มีรายได้รวม 578 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 30 ล้านบาท
นายอิทธิพัทธ์ กล่าวว่า บริษัทมีวิสัยทัศน์และเป้าหมายที่จะพัฒนาตราสินค้า“เถ้าแก่น้อย"ให้เป็นผู้นำตลาดขนมขบเคี้ยวในเอเชีย(Asian Brand)ด้วยยอดขาย 5,000 ล้านบาทภายในปี 61 โดยปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนรายได้ จากการขายต่างประเทศต่อรายได้จากการขายโดยรวมเติบโตอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 55 เป็นต้นมา โดยมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นจาก 31.65% ในปี 55 มาเป็น 43.05% ของยอดขายรวมในปี 57
เนื่องจากบริษัทมีการส่งออกสินค้าไปยังตลาดต่างประเทศเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะประเทศจีน อินโดนีเซีย และมาเลเซีย จึงส่งผลให้รายได้จากการขายต่างประเทศ มีอัตราการเติบโตสูงกว่ารายได้ จากการขายในประเทศ โดยเฉพาะยอดส่งออกไปประเทศจีน ซึ่งเป็น 1 ในตลาดส่งออกหลักที่มีมูลค่า ตลาดขนมขบเคี้ยวที่สูงที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง ขณะที่ นายเล็ก กล่าวอีกว่าการระดมทุนในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อลงทุนสร้างโรงงานเพิ่มอีก 1 แห่งเพื่อการผลิตสินค้า เพื่อการส่งออกโดยเฉพาะ เพิ่มเงินทุนหมุนเวียนและปรับโครงสร้างทางการเงินให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น โดย ณ สิ้นปี 57 TKN มีกำไรต่อหุ้น 1.19 บาท และมีอัตราผลตอบแทนต่อหุ้น(ROE) สูงถึง 65% และมีอัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์(ROA)สูง 17% และมีอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนผู้ถือหุ้นเพียง 2.62 เท่า และคาดว่าจะได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างดี