นอกจากนี้ภายหลังบริษัทได้เข้าซื้อกิจการ 4 แห่ง ประกอบด้วย Polyplex , Performance Fibers , Bangkok Polyester และ CEPSA ในปี 58 ทำให้บริษัทมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น 1 ล้านตัน ส่งผลให้มีกำลังการผลิตรวมเป็น 8.5 ล้านตัน/ปีในปัจจุบัน ขณะที่การเจรจาซื้อกิจการในโครงการ Lion II ยังอยู่ในกระบวนการเจรจา ซึ่งจะช่วยส่งเสริมกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มในอเมริกาเหนือ โดยบริษัทมีแผนที่จะขยายธุรกิจ PTA เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า ซึ่งหากโครงการ Lion II เสร็จสิ้น คาดว่าจะมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีก 700,000 ตัน
"เราคาดครึ่งปีหลังของปีนี้ ผลการดำเนินงานใกล้เคียงกับครึ่งปีแรก เนื่องจาก PET มีการฟื้นตัว หลังจากที่ชะลอตัวในไตรมาส 2/58 เรายังคาดว่าไตรมาส 3 รายได้โต 8% บนพื้นฐานของราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยที่ 60-65 ดอลลาร์ต่อบาเรล"นายดีลิป กล่าว
นายดีลิป กล่าวว่า บริษัทคาดว่าผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 3/58 จะเติบโตได้ดี เนื่องจากผลิตภัณฑ์ของบริษัทยังมีความต้องการที่มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตามการเพิ่มขึ้นของรายได้ที่ใช้จ่ายจริง เนื่องจากราคาน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติปรับตัวลดลง รวมทั้งความต้องการผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น เพื่อทดแทนเส้นใยและบรรจุภัณฑ์อื่นๆ
อย่างไรก็ตาม ช่วงครึ่งปีหลังบริษัทยังคงเดินหน้าขยายการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งในรูปแบบการเติบโตตามปกติและการเติบโตจากการเข้าซื้อกิจการ เพื่อรวมการดำเนินธุรกิจผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่ม (HVA) และใช้ประโยชน์จากขนาดและการดำเนินงานที่มีใน 19 ประเทศทั่วโลก หลังในช่วงที่ผ่านมาบริษัทเข้าซื้อกิจการ Performance Fibers ในเดือน เม.ย.58 และเข้าซื้อกิจการ Bangkok Polyester ช่วยเสริมการบูรณาการ PTA ของบริษัทในประเทศ นอกจากนี้ยังมีการขยายการดำเนินงานของเส้นใยที่มีมูลค่าเพิ่มทีจ.ระยอง ในไทยด้วย เพื่อทดแทนผลิตภัณฑ์ที่จำเป็น (Necessities) ที่จะค่อยๆ ย้ายการผลิตไปยังโรงงานแห่งใหม่ภายใต้โครงการ CP4 ในอินโดเซีย และที่โรงงาน Polayprima ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนในอินโดนีเซีย โดยปัจจุบันกำลังอยู่ระหว่างการซ่อมบำรุง
ขณะเดียวกันบริษัทยังมองหาโอกาสในการเข้าซื้อกิจการใหม่เพิ่มเติม เพื่อขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่ม โดยมีการเพิ่มกลุ่มผลิตภัณฑ์ HVA ซึ่งปัจจุบันคิดเป็นสัดส่วน 22% ของปริมาณการผลิต และ 45% ของกำไรหลังการหักดอกเบี้ย ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย
สำหรับแผนการลงทุนในปี 58-61 นั้น บริษัทตั้งงบค่าใช้จ่ายการลงทุน 3.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ โดยแบ่งเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อการเติบโต 3.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ และค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา 400 ล้านเหรียญสหรัฐ
ทั้งนี้ ในปี 58 บริษัทตั้งงบลงทุนไว้ที่ 1.1 พันล้านเหรียญสหรัฐเพื่อควบรวมและเข้าซื้อกิจการ และการขยายกำลังการผลิตและค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา ขณะที่ ปี 59 วางเงินลงทุนราว 1.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ ใช้ควบรวมกิจการ, การร่วมทุน, การขยายกำลังการผลิต และค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา ส่วนในปี 60 วางงบลงทุน 700 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อใช้ในการควบรวมกิจการ, การขยายกำลังการผลิตและบำรุงรักษา และในปี 61 ตั้งงบลงทุน 400 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อใช้ขยายกำลังการผลิตและค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา