ในมุมมองด้านการลงทุนตลาดหุ้นมีความผันผวนและเคลื่อนไหวในกรอบแคบ เนื่องจากไม่ได้ปัจจัยใหม่เข้ามาช่วยเสริมความมั่นใจของนักลงทุน ขณะที่งบบริษัทจดทะเบียนต่างๆเริ่มทยอยประกาศออกมาทั้งหมด โดยเฉพาะกลุ่มขนาดใหญ่ อย่างเช่น พลังงานและธนาคารพาณิชย์ ซึ่งออกมาค่อนข้างอ่อนแอกว่าที่ตลาดคาดการณ์ ทำให้ตลาดยังขาดความเชื่อมั่นในการลงทุน
ขณะที่การลงทุนในตราสารหนี้ บริษัทประเมินว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรไทยยังมีโอกาสเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ เนื่องจากนักลงทุนยังคงรอดูแนวโน้มช่วงเวลาของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ ซึ่งตลาดคาดว่าอาจมีการปรับขึ้นในเดือนกันยายนนี้ เป็นอย่างเร็ว รวมทั้งมองว่า กนง. ยังมีโอกาสคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายจนถึงสิ้นปี 58 เพื่อรอดูผลการฟื้นตัวเศรษฐกิจและดูแลค่าเงินบาทให้มีเสถียรภาพหลังปรับลดอัตราดอกเบี้ยมาแล้ว 2 ครั้งที่ผ่านมา
ดังนั้น จึงมองว่าเพื่อป้องกันการเสียโอกาสของการลงทุนในภาวะอัตราดอกเบี้ยยังทรงตัวหรือปรับลดลง บริษัทจึงแนะนำให้ลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้น เพื่อรอทิศทางสัญญาณทางเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งจะมีผลต่อการพิจารณาอัตราดอกเบี้ยนโยบายในครั้งถัดไป
ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการจัดการลงทุนมีมติจ่ายเงินปันผล 3 กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ มูลค่ารวมประมาณกว่า 130 ล้านบาท ประกอบด้วย กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์มิลเลียนแนร์ (MIPF) จ่ายปันผลประจำงวดวันที่ 1 มกราคม 2558-30 มิถุนายน 2558 ในอัตรา 0.5800 บาทต่อหน่วย มูลค่าประมาณ 110 ล้านบาท กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์บางกอก (BKKCP) จ่ายปันผลประจำงวดวันที่ 1 เมษายน 2558-30 มิถุนายน 2558 ในอัตรา 0.1600 บาทต่อหน่วย มูลค่าประมาณ 16 ล้านบาท และกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ไทยอินดัสเตรียล 1(TIF1) จ่ายปันผลประจำงวดวันที่ 1 เมษายน 2558-30 มิถุนายน 2558 ในอัตรา 0.1200 บาทต่อหน่วย มูลค่าประมาณ 10 ล้านบาท ซึ่งทั้ง 3 กองทุนจะขึ้นเครื่องหมายห้ามซื้อขายในวันที่ 19 สิงหาคม 2558 โดยมีกำหนดจ่ายปันผลพร้อมกันในวันที่ 8 กันยายน 2558
กองทุน MIPF ลงทุนที่ดินและในอาคารโครงการมาลีนนท์ ทาวเวอร์ โดยมีบริษัท มาลีนนท์ ทาวเวอร์ จำกัดและบริษัท โจนส์ แลง ลาซาลล์ แมนเนจเม้นท์ จำกัด เป็นผู้บริหารอสังหาริมทรัพย์
สำหรับกองทุน BKKCP ปัจจุบันลงทุนห้องชุดสำนักงาน และห้องชุดพาณิชยกรรม จำนวน 24 ยูนิต ในอาคารชาญอิสสระทาวเวอร์ คิดเป็นร้อยละ 29.83% ของพื้นที่ห้องชุดสุทธิที่สามารถซื้อ-ขายหรือปล่อยให้เช่า (Net Lettable Area) และห้องชุดสำนักงาน และห้องชุดพาณิชยกรรม จำนวน 136 ยูนิต ใน อาคารชาญอิสสระทาวเวอร์ 2 คิดเป็นร้อยละ 41.72% ของพื้นที่ห้องชุดสุทธิที่สามารถซื้อ-ขายหรือปล่อยให้เช่า (Net Lettable Area) โดยผู้บริหารอสังหาริมทรัพย์ของกองทุน คือบริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน)
และกองทุน TIF1 ลงทุนในที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในนิคมอุตสาหกรรมเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมสวนอุตสาหกรรม รวม 6 แห่งได้แก่ นิคมอุตสาหกรรมไฮเทค, สวนอุตสาหกรรมบางกะดี่, เขตส่งเสริมอุตสาหกรรมนวนคร, นิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน ,นิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร และนิคมอุตสาหกรรมทีเอฟดี โดยบริษัท ไทยพัฒนา โรงงานอุตสาหกรรมจำกัด(มหาชน) เป็นผู้บริหารอสังหาริมทรัพย์