FETCO เผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน 3 เดือนลดลง 41.73%เข้าเกณฑ์ Bearish

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday August 10, 2015 16:28 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นางวรวรรณ ธาราภูมิ ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO NIDA Investor Sentiment Index) ซึ่งทำการสำรวจความคิดเห็นของกลุ่มผู้ลงทุน 4 กลุ่มในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่มีต่อระดับดัชนีฯ ในอีก 3 เดือนข้างหน้าว่า ดัชนีความเชื่อมั่นปรับตัวลดลงอย่างมากจนอยู่ในเกณฑ์ซบเซา(Bearish)โดยมีปัจจัยหลักจากภาวะเศรษฐกิจในประเทศ

ทั้งนี้ นักลงทุนคาดการณ์ดัชนีความเชื่อมั่นในอีก 3 เดือนข้างหน้า (ตุลาคม) อยู่ที่ 57.27 (ช่วงค่าดัชนี 0 - 200) ปรับตัวลดลง 41.73% จากดัชนีในเดือนที่ผ่านมาซึ่งอยู่ที่ 98.28 โดยนักลงทุนทุกกลุ่มมองไปในทิศทางเดียวกันว่าตลาดจะปรับตัวลงไปอยู่ในเกณฑ์ซบเซา (Bearish)

โดยเฉพาะดัชนีความเชื่อมั่นของกลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ ปรับตัวลดลงมากที่สุดถึง 71.43% (ต่ำสุดในรอบ 14 เดือน) อยู่ที่ 28.57 จนแตะระดับซบเซาอย่างมาก (Extremely Bearish) ในขณะนักลงทุนสถาบันต่างประเทศ มีความเชื่อมั่นปรับลดลงน้อยที่สุด อยู่ที่ 62.5 (Bearish) หรือ 12.5%

ส่วนหมวดอุตสาหกรรมที่เห็นว่าน่าลงทุนมากที่สุด คือ หมวดบริการรับเหมาก่อสร้าง (CONS) ส่วนหมวดอุตสาหกรรม ที่ไม่น่าลงทุน มากที่สุด คือ หมวดเหล็ก (STEEL)

สำหรับปัจจัยเชิงบวก ที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นมากที่สุด คือ นโยบายด้านเศรษฐกิจ ขณะที่ปัจจัยเชิงลบ ที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นมากที่สุด คือ เศรษฐกิจในประเทศ อย่างไรก็ดี ยังมีปัจจัยภายนอกอื่นๆ ที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนในตลาดหุ้น อาทิ ภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว การปรับอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) หนี้เสียในกลุ่มประเทศยูโรโซน และปัญหาการเมืองระหว่างประเทศ นอกจากนี้ยังมีปัจจัยภายในประเทศบางประการที่ส่งผลต่อทิศทางตลาดหุ้น เช่น การเติบโตทางเศรษฐกิจในประเทศ ปัญหาการส่งออกที่ลดลง หนี้ครัวเรือนที่เพิ่มสูงขึ้น การไหลเข้าออกของเงินทุน การเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐและการลงทุนโครงสร้างสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานที่ต้องพิจารณาเลื่อนออกไปในช่วงครึ่งปีหลัง รวมถึงแนวโน้มการปรับคณะรัฐมนตรีและปัญหาภัยแล้ง เป็นต้น

นายอมรเทพ จาวะลา ผู้อำนวยการสำนักวิจัย สายบริหารความเสี่ยง ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย (CIMBT) ให้มุมมองเกี่ยวกับภาพรวมเศรษฐกิจว่า เศรษฐกิจไทยยังคงฟื้นตัวอย่างช้าๆ และมีการเติบโตต่ำกว่าที่หลายฝ่ายประเมินไว้เมื่อต้นปีที่ผ่านมา โดยคาดว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจของปีนี้มีโอกาสที่จะโตต่ำกว่าร้อยละ 3 อันเป็นผลกระทบมาจากภาคการส่งออกที่แผ่วลงตามภาวะเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าหลักที่ยังไม่ฟื้นตัวได้อย่างเต็มที่ ประกอบกับราคาสินค้าเกษตรที่ยังตกต่ำตามราคาของตลาดโลกและผลผลิตทางการเกษตรที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาภัยแล้ง รวมไปถึงปัญหาเชิงโครงสร้างของภาคส่งออกไทยที่ยังพึ่งพาการใช้ภาคแรงงานมากกว่าเทคโนโลยี ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตของไทยสูงกว่าประเทศเพื่อนบ้านที่มีค่าแรงถูกกว่า ทำให้ประเทศเสียความสามารถในการแข่งขัน

ด้านภาคอุปสงค์ในประเทศนั้นมองว่าการบริโภคภาคเอกชนยังคงฟื้นตัวได้อย่างช้าๆ ผลมาจากกำลังซื้อภายในประเทศที่อ่อนแอ รายได้ของเกษตรกรที่หดตัว หนี้สินภาคครัวเรือนยังคงอยู่ในระดับสูง ด้านการลงทุนของภาคเอกชนนั้น มีการเติบโตอยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากภาคอุตสาหกรรมมีกำลังการผลิตเหลืออยู่มาก แต่ภาคธุรกิจส่วนใหญ่ยังชะลอการลงทุนเพื่อรอความชัดเจนจากการลงทุนภาครัฐที่มีความล่าช้าโดยเฉพาะโครงการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งในช่วงที่เหลือของปีนี้คงต้องฝากความหวังไว้ที่ภาคการท่องเที่ยวที่ยังมีอัตราการเติบโตอยู่ในระดับสูง

สำหรับอัตราแลกเปลี่ยนนั้นมองว่ายังคงมีความผันผวนรุนแรงขึ้นในช่วงเดือนที่ผ่านมา และในช่วงที่เหลือของปีนี้ ค่าเงินบาทยังมีแนวโน้มอ่อนค่าเทียบดอลลาร์สหรัฐฯ โดยค่าเงินบาทอาจแตะระดับ 36.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ได้ในช่วงปลายปี ทั้งนี้จะต้องระมัดระวังว่าหากทางสหรัฐฯ มีการชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ Fed จะส่งผลให้ค่าเงินบาทอาจกลับมาแข็งค่าได้ในระยะสั้น ส่วนอัตราดอกเบี้ย คาดว่ามีแนวโน้มคงที่ตลอดทั้งปีที่ร้อยละ 1.50 ต่อปี เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ แต่หากมีความเสี่ยงที่เศรษฐกิจจะเกิดภาวะถดถอยทางเทคนิค (technical recession) ทางคณะกรรมการนโยบายการเงินอาจปรับลดดอกเบี้ยได้อีก ซึ่งอาจส่งผลให้บาทอ่อนค่าไปกว่าที่ได้คาดการณ์ไว้


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ