"กำไรสุทธิปีนี้ยังคงเป้าหมายเติบโต 35-40% ซึ่งจะเป็นการเติบโตตามรายได้ ขณะที่ต้นทุนการผลิตก็ยังคงลดลงจากการผลิตบรรจุภัณฑ์ขวดแก้วเอง ประกอบกับได้รับอานิสงค์จากราคาน้ำมันปรับตัวลง รวมถึบไม่มีภาระดอกเบี้ยจ่ายหลังจากจ่ายชำระคืนหนี้สินทั้งหมด และ อัตราภาษีลดลง"นางสาวณัฐไม กล่าว
สำหรับสัดส่วนรายได้จากการส่งออกนั้น ในปีนี้ตลาดหลักยังเป็๋นกลุ่มประเทศ CLMV ที่ยังคงเติบโตต่อเนื่อง โดยประเทศกัมพูชามีสัดส่วนยอดขายอยู่ที่ 40% เวียดนาม 80% ส่วนพม่าได้รับผลกระทบจากการปิดด่านการค้าบางจุด ทำให้ยอดขายชะลอตัว แต่บริษัทก็มีการส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปประจำในพม่าและลาวเพื่อจัดจำหน่ายเองเพราะถือว่ามีกำลังซื้อที่ดีอยู่
ขณะที่การส่งออกไปยังประเทศอัฟกานิสถานและเยเมน แม้จะมีปัญหาด้านเศรษฐกิจและการเมือง แต่บริษัทฯก็ไม่ได้รับผลกระทบมากนัก โดยยังคงมีการส่งออกไปยังประเทศดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง และมีแผนเพิ่มยอดขายต่างประเทศในส่วนอื่นๆ เช่น จีนและอังกฤษ
ด้านตลาดในประเทศนั้น ช่วงครึ่งปีหลังเชื่อว่าในหลายธุรกิจยังคงรอความชัดเจนการลงทุนของภาครัฐทั้งโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ที่จะเข้ามาช่วยเสริมการจ้างงานให้กับแรงงานระดับล่าง ทำให้การจับจ่ายใช้สอยปรับตัวดีขึ้น โดยกลยุทธ์ทางการตลาดของบริษัทฯก็ยังมีแผนจะออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ แต่ก็ต้องรอดูสภาพการตลาดประกอบด้วย และยังเดินหน้าลงทุน400 ล้านบาทเพื่อขยายกำลังการผลิตเครื่องดื่มชูกำลังชนิดกระป๋องจาก 350 ล้านกระป๋องต่อปี เพิ่มเป็น 700 ล้านกระป๋องต่อปี
นางสาวณัฐไม กล่าวว่า บริษัทฯยังคงมองหาโอกาสที่จะขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศทั่วโลก ซึ่งก็มีความเป็นไปได้ทั้งการร่วมมือกันกับพาร์ทเนอร์ หรือเข้าไปลงทุนเอง เนื่องจากยังมีเงินเหลือจากการระดมทุนด้วยการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนให้กับประชาชนทั่วไป(IPO)ราว 1,000 ล้านบาท มองว่าจะนำไปต่อยอดการพัฒนาธุรกิจในลักษณะการเข้าซื้อกิจการ เพื่อให้เกิดประโยชน์ในทั้ง 2 ฝ่าย และช่วยลดต้นทุนการผลิต โดยเปิดกว้างทั้งกิจการในประเทศและต่างประเทศ