"ตลาดหุ้นไทยนั้นก็คล้ายกับตลาดหุ้นอื่นๆที่มีความกังวลกับการปรับลดค่าเงินของจีน แต่ในประเทศไทยเชื่อว่าจะเพียงจิตวิทยาการลงทุนเท่านั้น เพราะในช่วงที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าบริษัทจดทะเบียนของไทยปรับตัวได้ค่อนข้างดี และมีการกระจายการลงทุนไปยังประเทศต่างๆ ทำให้ผลประกอบการยังเติบโตต่อเนื่อง ซึ่งเป็นตัวสะท้อนความแข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียนไทยทำให้เชื่อว่าการลดค่าเงินไม่น่ามีผลกระทบมากนัก เพราะในช่วงที่ผ่านมาบริษัทจดทะเบียนได้รับรู้และเตรียมเรื่องนี้มาพอสมควรแล้ว โดยในช่วงต่อจากนี้ทั้งในภาครัฐและเอกชนจะต้องเตรียมความพร้อม โดยภาครัฐต้องเร่งการลงทุนเรื่องโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ส่วนภาคเอกชนต้องจัดระบบและกระจายความเสี่ยงไปในหลายประเทศ และปรับรูปแบบสินค้าให้เป็นสินค้าที่มีมูลค่าสูง"นางเกศรา กล่าว
นางเกศรา กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมาจีนตรึงค่าเงินหยวนให้ต่ำกว่าความเป็นจริง ทำให้ปัจจุบันต้องปรับลดค่าเงินหยวนเพื่อให้มีความสามารถในการแข่งขันมากขึ้น ซึ่งทำให้ตลาดมีความกังวลต่อการส่งออกไปจีน แต่ในส่วนของบริษัทจดทะเบียนไทยก็ได้มีการปรับตัวมาระยะหนึ่งแล้ว โดยหากพิจารณาในสัดส่วนรายได้ของบริษัทจดทะเบียนของไทย จะพบว่ามาจากส่งออกและการลงทุนในต่างประเทศ ในระดับ 45% แต่ในส่วนนี้มีการกระจายไปในหลายประเทศ นอกจากนี้การที่การส่งออกของไทยแม้จะลดลง แต่ก็อยู่ในอัตราที่ลดลงน้อยกว่าประเทศอื่นๆ แสดงให้เห็นว่าไทยยังมีความแข็งแกร่ง และมีพื้นฐานที่ค่อนข้างดี ทำให้เชื่อว่าจะไม่มีผลกระทบมากนักต่อบริษัทจดทะเบียน
สำหรับตลาดหุ้นไทยนั้นมีการขับเคลื่อนในทิศทางเดียวกับเศรษฐกิจของประเทศ แต่ยังเชื่อว่าหากเป็นการลงทุนระยะยาว 3 ปี จะยังให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการลงทุนในตราสารหนี้ โดยแนะนำให้นักลงทุนเลือกลงทุนในหุ้นที่มีพื้นฐานดีและมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังพบว่านักลงทุนไทยและนักลงทุนต่างประเทศ ยังคงสัดส่วนที่จะลงทุนในตลาดหุ้นไทย แม้ว่าตลาดยังอยู่ในภาวะของการชะลอตัว ประกอบกับผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในช่วงไตรมาส 2/58 ถือว่าไม่เลวร้าย และยังปรับตัวดีขึ้นกว่าไตรมาสแรกด้วย สะท้อนถึงความแข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียนที่ได้มีการบริหารจัดการได้ค่อนข้างดี