“ในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทได้เพิ่มกำลังการผลิตเป็น 70-80%เมื่อเทียบกับในช่วงครึ่งปีแรกใช้กำลังการผลิตเพียง 50-60% ซึ่งช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายคงที่ให้ลดลง 12% และผลักดันให้อัตรากำไรสูงขึ้น หลัง Warehouse สร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทำให้บริษัทสามารถผลิตได้ทั้ง 2 สายการผลิต โดยปัจจุบัน บริษัทมีงานในมือ (Backlog) เป็นการรับจ้างผลิตอยู่ที่ 600 ล้านบาท ซึ่งจะรับรู้เป็นรายได้ภายใน 2 ปี"นายสมพลกล่าว
นายสมพล กล่าวว่า แม้อุตสาหกรรมยานยนต์ในปีนี้จะชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจ เนื่องจากเศรษฐกิจโลกยังไม่ฟื้นตัวตามที่คาดการณ์ แต่ในแง่ของการเติบโตของบริษัทไม่ได้ชะลอตาม เนื่องจากบริษัทเน้นการผลิตสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มค่อนข้างมาก ซึ่งจะทำให้มีอัตรากำไร (มาร์จิ้น) ดีกว่าการรับจ้างผลิต (OEM) อีกทั้ง ยังมีการผลิตโมเดลใหม่ที่ให้มาร์จิ้นสูง โดยปัจจุบันสัดส่วนรายได้ของบริษัทมาจากการรับจ้างผลิต 80% ขณะที่สินค้ามูลค่าเพิ่ม และการผลิตสินค้าโมเดลใหม่ มีสัดส่วนรายได้รวมกัน 20% ซึ่งสินค่ามูลค่าเพิ่มและโมเดลใหม่มีอัตรากำไรขั้นต้นที่ 45% สูงกว่าการรับจ้างผลิต
นอกจากนี้ บริษัทมีแผนขยายการลงทุนเพิ่มอีกปีละ 5 สาขาภายใน 5 ปี ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างมองหาพันธมิตรร่วมทุนต่างประเทศ โดยสนใจประเทศตุรกี อินเดีย อเมริกา จีน และแม็กซิโก เพื่อเพิ่มแหล่งที่มาของรายได้ และกระจายความเสี่ยงการลงทุน สร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืนให้กับบริษัทและผู้ถือหุ้นในอนาคต ซึ่งล่าสุดมีพันธมิตร 2-3 รายสนใจติดต่อเข้ามา อย่างไรก็ตาม ยังไม่ได้ข้อสรุปในเรื่องของรูปแบบการลงทุน ซึ่งต้องพิจารณาให้รอบคอบ เพื่อประโยชน์สูงสุดของบริษัท
สำหรับผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2558 มีรายได้รวม 915.57 ล้านบาท กำไรสุทธิ 91.52 ล้านบาท นอกจากนี้ คณะกรรมการบริษัทยังมีมติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลสำหรับงวดผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี 2558 ( 1 มกราคม-30 มิถุนายน 2558) ในอัตรา 0.04 บาท/หุ้น กำหนดจ่ายในวันที่ 10 กันยายน 2558