สำหรับกำไรสุทธิไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ทำได้ 109.51 ล้านบาท ซึ่งต่ำกว่างวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากยอดขายน้ำตาลที่เพิ่มขึ้นนั้นเป็นการเพิ่มขึ้นในภาคส่งออก ทำให้ต้นทุนขายและการให้บริการเพิ่มขึ้น ในขณะที่ราคาน้ำตาลทรายในตลาดโลกปรับตัวลดลง
ไตรมาส 2 ของปีนี้ สัดส่วนรายได้ของกลุ่มธุรกิจต่างๆ แบ่งเป็น การผลิตและจำหน่ายน้ำตาลและกากน้ำตาล 82.23% การผลิตและจำหน่ายเยื่อกระดาษจากชานอ้อย 7.25% การผลิตและจำหน่ายเอทานอล 7.24% การผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงชีวมวล 3.23% และอื่นๆ 0.05% โดยสายธุรกิจผลิตและจำหน่ายเยื่อกระดาษ เป็นสายธุรกิจที่มีกำไรเติบโตดีที่สุดเมื่อเทียบกับสายธุรกิจอื่น เนื่องจากราคาขายสูงขึ้น ในขณะที่ต้นทุนต่ำลง
"แม้ว่าภาวะเศรษฐกิจจะชะลอตัว และราคาน้ำตาลทรายในตลาดโลกยังคงอยู่ในระดับต่ำ แต่บริษัทฯ ก็พยายามบริหารจัดการเพื่อให้มีรายได้และกำไรในระดับที่เหมาะสม ซึ่งความแข็งแกร่งของ KTIS นั้น มาจากการกระจายการรับรู้รายได้จากหลากหลายธุรกิจ และความมั่นคงทางวัตถุดิบ ทำให้มีโอกาสขยายตัวในแต่ละธุรกิจได้อีกมาก " นายประพันธ์กล่าว
ทั้งนี้ เพื่อรองรับการเติบโตอย่างมั่นคงในอนาคต คณะกรรมการ KTIS จึงได้อนุมัติให้จัดตั้งบริษัท เคทิส วิจัยและพัฒนา จำกัด ขึ้นเป็นบริษัทย่อย เพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบ วิจัย คิดค้น และพัฒนาคุณภาพของผลิตภัณฑ์หรือวัตถุดิบ รวมถึงผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องจากอ้อยและน้ำตาล ด้วยทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท