ขณะเดียวกันอัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทปรับเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 16.9 เมื่อเปรียบเทียบกับอัตรากำไรขั้นต้นในไตรมาสที่ 1 ที่ร้อยละ 13.8 และ อัตรากำไรขั้นต้นในไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมาที่ร้อยละ 16.1 อัตรากำไรที่เข้มแข็งเป็นผลมาจากตราสินค้าของบริษัทและการฟื้นตัวของค่าเงินยูโรเทียบกับค่าเงินบาท
ในระยะเวลา 6 เดือนแรกของปี บริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 2,919 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 18.1 จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ร้อยละ 4.9 เมื่อเทียบกับอัตรากำไรขั้นต้นที่ร้อยละ 4.2 ในระยะเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว ตัวเลขดังกล่าวนี้สอดคล้องกับเป้าหมายประจำปีที่บริษัทตั้งไว้
หลังจากช่วงไตรมาสที่ 1 ประจำปี 2558 ซึ่งมีความท้าทายอย่างรุนแรงจากความผันผวนของค่าเงิน ผลประกอบการของบริษัทได้กลับมาสู่ในสภาวะปกติ ทั้งในส่วนเป้าหมายยอดขายและอัตรากำไรต่างๆ ที่สำคัญไปยิ่งกว่านั้น ภาระผูกพันทางการเงิน ในส่วนของอัตราหนี้สินต่อส่วนผู้ถือหุ้น ยังคงลดลงไปถึงจุดต่ำสุด (0.68x) ในหลายปีที่ผ่านมา สภาวะเช่นนี้แสดงให้เห็นถึงสถานะทางการเงินอันแข็งแกร่ง สำหรับโอกาสการเติบโตของบริษัทในอนาคต
"ผลการดำเนินงานของบริษัทยังคงน่าพึงพอใจ ทั้งๆที่มีความท้าทายจากความผันผวนของค่าเงิน และค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวนั้น ...ยิ่งไปกว่านั้น คุณค่าของการลงทุนในบริษัทยุโรประดับแนวหน้าเหล่านี้ เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ระดับโลกของเรา และยังได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงผลการดำเนินงานอันเข้มแข็งของบริษัทเหล่านั้นในสองสามไตรมาสที่ผ่านมา รวมทั้งชี้ให้เห็นถึงความยืดหยุ่นที่แข็งแกร่ง และการเจริญเติบโตท่ามกลางสภาวะตลาดที่รุนแรง" นายธีรพงศ์กล่าว
ในครึ่งปีแรกของปี 2558 ยอดขายของบริษัทมาจาก ตลาดสหรัฐอเมริกาโดยมีสัดส่วนร้อยละ 42 ของตลาดทั้งหมดทั่วโลก ตลาดยุโรปร้อยละ 31 ตลาดในประเทศร้อยละ 8 ตลาดญี่ปุ่นร้อยละ 6 เละตลาดอื่นๆ รวมร้อยละ 13 ภาพรวมสัดส่วนยอดขายมาจากกลุ่มธุรกิจต่างๆ อาทิเช่น กลุ่มธุรกิจปลาทูน่ามีสัดส่วนยอดขายเท่ากับร้อยละ 40 ของยอดขายทั้งหมด กลุ่มธุรกิจกุ้งและธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับกุ้ง ร้อยละ 27 กลุ่มธุรกิจปลาแซลมอน ร้อยละ 8 กลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง ร้อยละ 7 กลุ่มธุรกิจปลาซาร์ดีนและปลาแมคเคอเรล ร้อยละ 6 และกลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์มูลค่าเพิ่มและผลิตภัณฑ์อื่นๆ ร้อยละ 12 โดยทั่วไปสัดส่วนเหล่านี้ค่อนข้างคงทีในปีนี้ ในขณะเดียวกัน สัดส่วนยอดขายจากตราสินค้าของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 43 ของยอดขายทั้งหมด (เทียบกับร้อยละ 41.3 จากปีที่แล้ว) และสัดส่วนที่เหลือมาจากยอดขายจากการรับจ้างผลิตสินค้า (OEM)
"ในขณะที่เราก้าวไปข้างหน้าต่อไป เรายังคงมุ่งเน้นที่จะเติบโตจากธุรกิจภายใน (Organic growth) ด้วยผลิตภัณฑ์หลักต่างๆ และพัฒนาประสิทธิภาพการดำเนินงานธุรกิจต่างๆ ทั่วโลก ธุรกิจทั่วโลกของเรายังคงขยายขอบเขตต่อไป และเรายังคงมุ่งมั่นที่จะทำรายได้ให้ถึงเป้าหมายที่เราวางไว้ที่ 5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ" นายธีรพงศ์ กล่าว