อย่างไรก็ตามในปีนี้มั่นใจว่าจะรักษาอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย,ภาษี,ค่าเสื่อม และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA margin) ไม่ต่ำกว่า 70% หลังจากในช่วงครึงปีแรกบริษัททำได้ 72% โดยบริษัทได้ดำเนินการปรับปรุงการผลิตให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อลดต้นทุนการผลิต
สำหรับเป้าหมายปริมาณการขายปิโตรเลียมปีนี้ คาดการณ์ว่าจะเติบโตได้ราว 3% จาก 3.22 แสนบาร์เรล/วันในปีก่อน ขณะที่ยังคงงบลงทุนในปีนี้ที่ คงงบลงทุนไว้ที่ 2.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อใช้ในการซื้อกิจการ ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างเจรจาทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงใช้ขยายปริมาณการผลิตปิโตรเลียม ส่วนแผนการขยายปริมาณการผลิตปิโตรเลียมระยะยาวนั้น บริษัทได้เลื่อนแผนขยายปริมาณการผลิตในระดับ 6 แสนบาร์เรล/วันเป็นในปี 68 จากเดิมที่คาดว่าจะทำได้ในปี 63 จากปัจจุบันที่มีการผลิตระดับ 3.7 แสนบาร์เรล/วัน เนื่องจากรอภาวะและโอกาสการลงทุนที่เหมาะสม
นอกจากนี้ บริษัทคาดว่าในช่วงครึ่งปีหลัง จะมีกำไรจากการทำประกันความเสี่ยงราคาน้ำมันต่อเนื่องจากครึ่งปีแรกที่มีกำไรจากการประกันความเสี่ยงราคาน้ำมัน 13 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยบริษัทได้ทำประกันความเสี่ยงเฉลี่ยไว้ที่ระดับราคา 50 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ซึ่งประเมินว่าราคาน้ำมันครึ่งปีหลังจะใกล้เคียงหรือต่ำกว่าระดับดังกล่าว เพราะเศรษฐกิจจีนชะลอตัว ขณะที่จีนเป็นผู้ใช้น้ำมันรายใหญ่รายหนึ่งของโลกอย่างทำให้ความต้องการใช้น้ำมันจะลดลงในขณะที่กำลังการผลิตน้ำมันยังล้นตลาดอยู่
ขณะที่ล่าสุดบริษัทได้ยื่นขอให้กรมสรรพากรปรับเกณฑ์การยื่นไฟลิ่งภาษีให้เป็นเงินสกุลดอลลาร์ เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนของค่าเงินบาทด้วย
"ทุกวันนี้เราต้อง Convert เงินดอลลาร์ให้เป็นบาทก่อนจะทำการยื่นภาษี ซึ่งมีปัญหาในแง่การแข่งขัน เพราะทุก 1 บาทที่เปลี่ยนแปลงจะกระทบเงินดอลลาร์เรา 60-70 เหรียญ ซึ่งเกณฑ์ดังกล่าวมันเป็นอุปสรรคต่อการลงทุนในต่างประเทศของผู้ประกอบการไทย หรือการที่นักลงทุนต่างประเทศจะเข้ามาลงทุนในไทย ซึ่งต้องเปลี่ยนแปลงให้เหมาะสม โดยเรายื่นไปแล้วแต่ไม่รู้จะสรุปเมื่อไหร่" นางสาวเพ็ญจันทร์ กล่าว