SSI คาดผลดำเนินงาน Q3/58 มีแนวโน้มดีขึ้น ประเมินปริมาณขายเหล็กเพิ่ม

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday August 14, 2015 11:31 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายวิน วิริยประไพกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.สหวิริยาสตีลอินดัสตรี (SSI) คาดว่าผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/58 จะเห็นแนวโน้มที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง และผลตอบแทนในการทำกำไร หลังแนวโน้มของธุรกิจเหล็กแผ่นรีดร้อนดีขึ้นในไตรมาส 2/58 โดยคาดว่าปริมาณขายเหล็กรวมในไตรมาส 3/58 จะเติบโต 8-10% จากไตรมาสก่อนหน้า

ทั้งนี้ คาดว่าปริมาณขายเหล็กแผ่นรีดร้อน (HRC) ในไตรมาส 3/58 จะเติบโต 30-40% จากไตรมาสก่อน ขณะที่ราคา HRC มีแนวโน้มลดลง 6-8% จากไตรมาสก่อน โดย HRC Rolling Margin จะปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 24-26% ส่วนปริมาณขายเหล็กแท่งแบน (slab) มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 12-14% จากไตรมาสก่อน ซึ่งเป็นการขายให้บุคคลภายนอกประมาณ 65-70% ของปริมาณขาย slab รวม ขณะที่ราคา slab มีแนวโน้มลดลง 10-12% จากไตรมาสก่อน โดย Slab Margin จะปรับตัวลดลงมาอยู่ในช่วงประมาณ 25-27%

สำหรับในช่วงไตรมาส 2/58 จะยังมีผลการดำเนินงานที่ขาดทุนสุทธิเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนเป็น 3.24 พันล้านบาท และมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่ายภาษีค่าเสื่อมและค่าตัดจำหน่าย(EBITDA) เป็นลบ 1.78 พันล้านบาท ขณะที่ในส่วนของรายได้จากการขายและการให้บริการ ลดลง 34% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มาที่ 1.19 หมื่นล้านบาท

"แม้ว่า EBITDA ในไตรมาส 2/58 ติดลบเช่นเดียวกันกับไตรมาส 1/58 แต่เรื่องราวแตกต่างกันมาก มีการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในธุรกิจเหล็กแผ่นรีดร้อนในไตรมาสที่ 2 นั่นคือปริมาณขายเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วนเพิ่มขึ้นร้อยละ 11 เป็น 307 พันตัน ยอดขายผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มพิเศษ (Premium Value Products: PVPs) บรรลุสัดส่วนการขายสูงสุดร้อยละ 44 และ EBITDA พลิกกลับมาจากติดลบ 38.6 เหรียญสหรัฐต่อตันเป็นบวก 32.4 เหรียญสหรัฐต่อตัน จากการที่เราได้ใช้วัตถุดิบที่มีต้นทุนสูง (จากไตรมาสแรก) ไปเกือบทั้งหมด และเริ่มที่จะใช้วัตถุดิบที่มีต้นทุนถูกลง ในไตรมาสที่ 3 ปีนี้ เราคาดว่าจะเห็นแนวโน้มที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องและผลตอบแทนในการทำกำไร"นายวิน กล่าว

นายวิน กล่าวอีกว่า สำหรับในไตรมาส 2/58 ธุรกิจโรงถลุงเหล็ก มีรายได้จากการขายและให้บริการรวม 7,780 ล้านบาท ลดลง 12% จากไตรมาสก่อน และ 31% จากงวดเดียวกันปีก่อน โดย EBITDA ติดลบ 2,177 ล้านบาท ซึ่งติดลบเพิ่มขึ้นจาก EBITDA ติดลบ 1,252 ล้านบาทจากไตรมาสก่อน และจาก EBITDA ติดลบ 531 ล้านบาทจากงวดเดียวกันปีก่อน และมีผลขาดทุนสุทธิ 3,045 ล้านบาท ขาดทุนเพิ่มขึ้นจากขาดทุนสุทธิ 2,073 ล้านบาทจากไตรมาสก่อน และจากขาดทุนสุทธิ 1,347 ล้านบาทจากงวดเดียวกันปีก่อน

ธุรกิจท่าเรือ มีรายได้จากการให้บริการรวม 67 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 13% จากงวดเดียวกันปีก่อน มีกำไรสุทธิ 20 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 106% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 212% จากงวดเดียวกันปีก่อน

ธุรกิจวิศวกรรม มีรายได้จากการขายและให้บริการรวม 167 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% จากไตรมาสก่อน แต่ลดลง 27% จากงวดเดียวกันของปีก่อน เป็นรายได้นอกกลุ่ม 70% และมีผลกำไรสุทธิ 1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 115% จากไตรมาสก่อน และผลประกอบการปรับตัวดีขึ้น 102% จากงวดเดียวกันปีก่อน

ธุรกิจเหล็กแผ่นรีดเย็น มีรายได้จากการขายรวม 2,807 ล้านบาท ลดลง 7% จากไตรมาสก่อน และ 11% จากงวดเดียวกันปีก่อน มีผลกำไรสุทธิ 61 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 278% และ 966% จากงวดเดียวกันปีก่อน

"สำหรับสภาวะตลาดของธุรกิจโรงถลุงเหล็กยังคงมีความท้าทายอย่างมาก ปริมาณการส่งออกเหล็กของจีนสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เนื่องจากปัญหากำลังการผลิตที่ล้นเกินความต้องการอย่างรุนแรง การชะลอตัวทางเศรษฐกิจ และระบบคืนภาษีส่งออกที่บิดเบือน ได้สร้างปัญหากับอุตสาหกรรมเหล็กทั่วโลก และกดดันอัตรากำไรให้ตกต่ำลงทุกที่ ส่วนต่างราคาได้ลดลงมากกว่าค่าใช้จ่ายที่เราลดลงมาได้อย่างมีนัยสำคัญ ฉะนั้นเรายังคงต้องฝ่าฟันความท้าทายเหล่านี้ไปอีกช่วงหนึ่ง"นายวิน กล่าว

นายวิน กล่าวอีกว่า แม้ว่าอุตสาหกรรมเหล็กยังคงอยู่ในความปั่นป่วน แต่บริษัทเชื่อว่าการที่มุ่งเน้นนวัตกรรมเพื่อสร้างมูลค่าให้กับลูกค้าและส่วนต่างราคาที่ดีกว่า รวมทั้งมุ่งเน้นการบูรณาการธุรกิจต่าง ๆ และสินทรัพย์ในการผลิตเพื่อให้มีการประหยัดจากขนาดและต้นทุนที่ต่ำกว่าจะทำให้ผลการดำเนินงานดีขึ้น


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ