(เพิ่มเติม) SC คาดปีนี้รายได้โอกาสทะลุเป้า 1.39 หมื่นลบ.จากครึ่งแรกทำได้ 5.93 พันลบ.

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday August 14, 2015 13:31 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บมจ.เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น (SC) คาดว่า รายได้ในปีนี้มีดอกาสทะลุเป้าหมายที่วางไว้ 13,900 ล้านบาท หลังจากในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมามีรายได้แล้ว 5,930 ล้านบาท สำหรับในช่วงที่เหลือของปีเตรียมเปิดอีก 5 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 8.8 พันล้านบาท

นายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SC กล่าวว่า กำไรสุทธิปีนี้จะมากกว่าปีก่อนที่ 1.55 พันล้านบาท และมีอัตรากำไรสุทธิมากกว่า 12% ซึ่งเป็นผลมาจากการที่บริษัทมีการควบคุมค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (SG&A) ในปีนี้ให้ลดลงมาอยู่ที่ 18.9% จากปีก่อนที่ 20% ขณะที่การพัฒนาโครงการอสังหาริทรัพย์ของบริษัทยังคงมีคุณภาพเช่นเดิม

นอกจากนี้ กำไรที่เพิ่มขึ้นก็ยังเป็นไปตามรายได้ที่เพิ่มขึ้นที่คาดว่ารายได้ปีนี้จะทะลุ 1.39 หมื่นล้านบาท จากปีก่อนที่ 1.26 หมื่นล้านบาท อย่างไรก็ตามบริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog) ในปัจจุบันอยู่ที่ 9.3 พันล้านบาท ซึ่งจะแบ่งเป็นการรับรู้รายได้ในปีนี้ 25% โดยในช่วงที่เหลือของปีนี้ยังมีโครงการเดอะ เครสท์ สุขุมวิท โอนต่อเนื่องจากครึ่งปีแรกอีกราว 50% และโครงการเซ็นทริค ซี พัทยา จะเริ่มทยอยโอนในไตรมาส 4/58 ส่วนยอด Backlog ที่จะรู้รายได้ในปี 59 อยู่ที่ 50% และส่วนที่เหลืออีก 25% จะรับรู้รายได้ในปี 60-61

ปัจจุบัน บริษัททำยอดขายได้แล้วกว่า 6 พันล้านบาท และยังมั่นใจว่ายอดขายในปีนี้จะทำได้ตามเป้าหมายที่ 1.3 หมื่นล้านบาท โดยในไตรมาส 3/58 บริษัทได้มีการเปิดโครงการแนวราบไปแล้ว 3 โครงการ มูลค่ารวม 4 พันล้านบาท ได้แก่ โครงการไลฟ์ บางกอก ราชพฤกษ์-ปิ่นเกล้า มูลค่ารวม 1.5 พันล้านบาท โครงการไลฟ์ บางกอก รามอินทรา 65 มูลค่า 1.1 พันล้านบาท และโครงการเพฟ รังสิต มูลค่า 1.4 พันล้านบาท ซึ่ง 3 โครงการดังกล่าวได้ทำยอดขายแล้ว 300 ล้านบาท และสิ้นปี 58 จะต้องทำยอดขายให้ได้ 600 ล้านบาท ซึ่งโครงการแนวราบ 3 โครการจะเริ่มทยอยโอนในช่วงที่เหลือของปีนี้

สำหรับผลประกอบการในครึ่งปีแรกที่เติบโตทั้งด้านยอดขาย รายได้ และกำไรของบริษัทนั้นมียอดขายรวม 5,930 ล้านบาท เติบโตขึ้น 71% จากปี 57 ส่วนรายได้รวมเท่ากับ 5,931 ล้านบาท เติบโต 37% ซึ่งเป็นรายได้จากการดำเนินงาน 5,913 ล้านบาทจาก 2 ธุรกิจหลัก คือ ธุรกิจพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย คิดเป็นสัดส่วน 93% กับรายได้จากธุรกิจอาคารสำนักงานให้เช่าและบริการที่สัดส่วน 7% ขณะที่บริษัทกำไรสุทธิสูงถึง 658 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 58% จากปี 57

"กำไรสุทธิที่เติบโตขึ้นนั้นมาจาก 1 ใน 5 ยุทธศาสตร์“รีดไขมัน ไม่ลดคุณภาพ"โดยบริษัทมีแผนในการลดค่าใช้จ่ายในส่วนที่ ไม่จำเป็น ซึ่งไม่มีผลกระทบต่อคุณภาพสินค้าและบริการ ทำให้ได้รับกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น จึงมั่นใจว่าปีนี้ SC จะประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้ทั้งยอดขาย 13,000 ล้านบาท และรายได้ 13,900 ล้านบาท"นายณัฐพงศ์ กล่าว

ยอดขายและรายได้เติบโตขึ้นในช่วงครึ่งปีแรกนั้นเนื่องมาจากตลาดระดับลักซ์ชัวรี่มีอัตราการเติบโตที่ดี โดยเฉพาะโครงการบ้านเดี่ยวระดับราคา 15 ล้านบาทขึ้นไป ของบริษัทมีรายได้ที่เติบโตขึ้นมากกว่า 67% เมื่อเทียบกับช่วงครึ่งปีแรกของปีที่ผ่านมา ซึ่งตอกย้ำความเป็นผู้นำอันดับ 1 ของตลาดบ้านเดี่ยวระดับลักซ์ชัวรี่ นอกจากนี้ ยังได้มีการเปิดตัวคอนโดมิเนียมระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่โครงการ SALADAENG ONE พร้อมกับโครงการเดอะเครสท์ สุขุมวิท 34 คอนโดมิเนียมสร้างเสร็จพร้อมเข้าอยู่ ซึ่งปิดการขายแล้ว 100% และโอนเรียบร้อยแล้วได้มากกว่า 50% ของยอด Backlog ทั้งหมด

ทั้งนี้ ตามแผนธุรกิจปี 58 ที่จะเปิด 7 โครงการใหม่ มูลค่ารวมประมาณ 16,000 ล้านบาท โดยในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาได้เปิดโครงการระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่รวม 2 โครงการ มูลค่าโครงการ 7,000 ล้านบาท คือ คฤหาสน์หรูชั้นนำ โครงการ กรานาดา ปิ่นเกล้า-เพชรเกษม กับคอนโดมิเนียมระดับซูเปอร์ลักซ์ ชัวรี่ โครงการ SALADAENG ONE พร้อมกับในช่วงครึ่งปีหลังที่เดินหน้าเปิดโครงการใหม่ต่อเนื่อง จำนวน 5 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 8,800 ล้านบาท เป็นโครงการบ้านเดี่ยว 3 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 4,000 ล้านบาท และคอนโดมิเนียม 2 โครงการ มูลค่าโครงการกว่า 4,800 ล้านบาท

ในไตรมาส 3/58 นี้ SC ได้เปิดโครงการบ้านเดี่ยวสไตล์โมเดิร์นที่พัฒนารูปแบบดีไซน์ใหม่ล่าสุด พร้อมกัน 3 โครงการ โดยนับเป็นครั้งแรกที่ SC จะรุกเข้าตลาดใหม่ที่บ้านเดี่ยวระดับราคา 3-5 ล้านบาท ในแบรนด์ใหม่ล่าสุดชื่อ PAVE (เพฟ) ซึ่งตลาดบ้านเดี่ยวระดับราคา 3-5 ล้านบาทนั้น มีความน่าสนใจ เนื่องจากในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ตลาดนี้มีมูลค่ายอดขายขนาดใหญ่สุดสูงกว่า 1 ใน 3 ของมูลค่าตลาดบ้านเดี่ยวในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑล

ดังนั้น การรุกเข้าตลาดเซ็กเม้นท์ใหม่นี้เป็นการเพิ่มฐานรายได้ให้กับ SC ตามแผนยุทธศาสตร์ 5 ปี เพื่อสร้างรายได้ตามเป้าที่วางไว้ 20,000 ล้านบาท ในปี 62 และมีรายได้รวมเติบโตเฉลี่ยปีละ 10% ตามแผนยุทธศาสตร์ 5 ปี นอกจากนี้ในปี 58 นี้ได้เปิดโครงการแรกที่รังสิต พร้อมตั้งเป้ารายได้จากการพัฒนาโครงการเพฟ ให้มีสัดส่วน 10% ของรายได้รวมทั้งหมด

โครงการเพฟ รังสิต มูลค่าโครงการ 1,400 ล้านบาท ขนาดพื้นที่ 81-2-51.3 ไร่ จำนวน 320 หลัง ราคาเริ่มต้น 3.99 ล้านบาท มีความโดดเด่นในเรื่องทำเลติดถนนใหญ่ถนนรังสิต–นครนายก คลอง 4 พร้อมแวดล้อมด้วยการเชื่อมต่อใกล้ทางด่วนวงแหวนกาญจนาภิเษก ใกล้แหล่งสรรพสินค้าชั้นนำ สถานศึกษา หรือโรงพยาบาลต่างๆ ด้วยแนวคิด “คิดพื้นที่ ให้คุณคิดใช้ชีวิต"

พร้อมกับอีก 2 โครงการใหม่ คือ โครงการ ไลฟ์ บางกอก บูเลอวาร์ด รามอินทรา 65 มูลค่าโครงการ 1,100 ล้านบาท บนพื้นที่ 42-3-9.1ไร่ จำนวน 152 หลัง ราคาเริ่มต้น 6.99 ล้านบาท กับโครงการ ไลฟ์ บางกอก บูเลอวาร์ด ราชพฤกษ์-ปิ่นเกล้า มูลค่าโครงการ 1,500 ล้านบาท บนพื้นที่ 57-2-98.4 ไร่ จำนวน 271 หลัง ราคาเริ่มต้นเพียง 4.59 ล้านบาท ปัจจุบันนี้ทั้ง 3 โครงการใหม่ได้เปิดพรีเซลส์ ไปแล้ว ซึ่งประสบความสำเร็จในการขายเฟสแรกอย่างรวดเร็ว ได้รับยอดขายรวมกันประมาณ 300 ล้านบาท

ในไตรมาส 4/58 บริษัทเตรียมเปิดโครงการคอนโดมิเนียม 2 โครงการ มูลค่ารวม 4.83 พันล้านบาท ได้แก่ โครงการแชมเบอร์ ชาน มูลค่า 930 ล้านบาท และโครงการ BEATNIQ สุขุมวิท 32 มูลค่า 3.9 พันล้านบาท อีกทั้งในไตรมาส 4/58 บริษัทจะมีการนำโครงการคอนโดมิเนียมศาลาแดง วัน ไปโรดโชว์ที่สิงคโปร์ โดยหวังเพิ่มสัดส่วนยอดขายของโครงการดังกล่าวเป็น 50% จากปัจจุบันที่มียอดขายโครงการศาลาแดงวันอยู่ที่ 40%

ด้านงบซื้อที่ดินในปีนี้บริษัทได้ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 7.5 พันล้านบาท จากเดิมที่ 5.2 พันล้านบาท โดยสาเหตุหนึ่งที่ปรับเพิ่มงบลงทุนในปีนี้มาจากการที่บริษัทได้มีการซื้อที่ดินที่มีศักยภาพใกล้กับเซ็นทรัลชิดลม เนื้อที่ 3 ไร่ ซึ่งมีราคาสูงถึงตารางวาละ 1.9 ล้านบาท เพื่อนำมาพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมหรูใรปี 59 และสอดคล้องกับราคาที่ดินในปัจจุบันที่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ตลอด อย่างไรก็ตาม บริษัทมีที่ดินอยู่ไนมือรองรับการพัฒนาโครงการในอนาคตได้อีก 3 ปีข้างหน้า

นายณัฐพงศ์ กล่าวถึงสภาพเศรษฐกิจและตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงครึ่งปีหลังว่า จากที่หลายฝ่ายคาดการณ์การเติบโตของ GDP ของไทยในปีนี้อยู่ที่ประมาณ 2.5-3.5% ซึ่งต่ำกว่าตัวเลขประมาณการเมื่อต้นปี โดยมองว่าปัจจัยบวกในช่วงครึ่งปีที่เหลือนั้นจะเป็นเรื่องการเติบโตของภาคท่องเที่ยว ราคาค่าน้ำมันและอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง ตลอดจนค่าก่อสร้างที่อยู่ในภาวะทรงตัว ส่วนปัจจัยที่น่ากังวล คือ เรื่องของภาคการส่งออกและสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ที่ยังสูงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งมีผลต่อกำลังซื้อและความสามารถในการกู้เพื่อซื้อที่อยู่อาศัย สำหรับตลาดในระดับกลางถึงล่าง

อย่างไรก็ตาม SC มีความมั่นใจว่าจะสามารถทำยอดขายและรายได้ได้ตามเป้าหมาย เนื่องจากตลาดที่อยู่อาศัยระดับราคา 10 ล้านขึ้นไปยังไปได้ดี โดยรายได้จากตลาดกลุ่มนี้มีสัดส่วนสูงถึง 2 ใน 3 ของรายได้จากโครงการแนวราบทั้งหมดของ SC และตัวเลขยอดปฏิเสธสินเชื่อจากธนาคาร (Bank Rejection Rate) ของลูกค้า SC สำหรับในครึ่งปีแรกยังอยู่ที่ 5% เท่าปีที่ผ่านมา โดยกลยุทธ์สร้างบ้านเสร็จก่อนขาย และการทำ pre-approve ก่อนการจอง สามารถช่วยลดความเสี่ยงจากการกู้ไม่ผ่านได้

ส่วนการเจรจากับพันธมิตรเอเชีย เพื่อร่วมกันพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ไนอนาคต ปัจจุบันยังไม่มีความคืบหน้าที่ชัดเจนออกมา ยังอยู่ระหว่างการเจรจาในเบื้องต้นเท่านั้น


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ