สำหรับครึ่งแรกปี 58 บริษัทมีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 1,612.4 ล้านบาท หรือลดลง 29% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมา กำไรสุทธิต่อหุ้นเท่ากับ 0.163 บาทต่อหุ้น หรือลดลง 31% สาเหตุหลักมาจากยอดการโอนที่ดินที่ลดลงในช่วงครึ่งแรกปี 58 เนื่องจากมีการขายที่ดินลดลงอันเป็นผลจากสภาวะทางเศรษฐกิจที่อ่อนแอลงทั้งตลาดในประเทศและการส่งออก รวมถึงการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่รับรู้จำนวน 82.6 ล้านบาท จากการลงทุนด้านพลังงาน (ค่าใช้จ่ายทางบัญชี ซึ่งไม่กระทบต่อกระแสเงินสด)
อย่างไรก็ตาม รายได้จากการให้บริการด้านสาธารณูปโภค และรายได้จากการให้เช่าอสังหาริมทรัพย์เชิงอุตสาหกรรมยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้วยเหตุนี้ บริษัทยังคงอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 59.6% เมื่อเทียบกับ 53.3% ในครึ่งปีแรกปี 57 ถึงแม้ว่าจะมีรายได้ที่ลดลงก็ตาม (อัตรากำไรสุทธิจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 62.6% เมื่อเทียบกับ 51.8% ในครึ่งแรกปี 57)
"บริษัทฯมีผลการดำเนินงานและผลประกอบการในช่วง 6 เดือนแรกของปี 58 ที่ค่อนข้างน่าพอใจท่ามกลางสภาวะทางเศรษฐกิจโดยรวมของไทย ทั้งนี้บริษัทมีรายได้จากการขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมลดลง 55% โดยเป็นการรับรู้รายได้เมื่อมีการโอนที่ดิน อย่างไรก็ตาม ในส่วนรายได้รวมจากการให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ในทุกกลุ่มเพิ่มขึ้น 10% เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรกของปี 57 และรายได้จากระบบสาธารณูปโภคในนิคมอุตสาหกรรม (ไม่รวมพลังงาน) เพิ่มขึ้น 1% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา"นายเดวิด กล่าว
สำหรับครึ่งแรกปี 58 บริษัทฯ สามารถขายที่ดินอุตสาหกรรมได้จำนวน 356 ไร่ (142 เอเคอร์ หรือ 57 เฮกตาร์) จากสัญญาจำนวน 13 สัญญา โดยในจำนวนนี้เป็นลูกค้าใหม่จำนวน 10 ราย และจากขยายกิจการของลูกค้ารายเดิมอีก 3 ราย เป็นลูกค้ากลุ่มอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่ไม่ใช่อุตสาหกรรมยานยนต์ร้อยละ 62
ด้วยเหตุที่ยอดขายรถยนต์ภายในประเทศที่ลดลง 16% และปริมาณการผลิตรถยนต์โดยรวมลดลง 2% ในขณะที่ยอดการส่งออกรถยนต์เพิ่มขึ้น 3% ส่งผลให้ช่วงครึ่งแรกปี 58 มูลค่าการส่งออกยานยนต์เพิ่มขึ้น 2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมูลค่าการส่งออกยานยนต์คิดเป็นสัดส่วน 14.82% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด หากมองในระยะยาวจะพบว่ายังคงมีการเปิดตัวรถรุ่นใหม่และการลงทุนด้านเทคโนโลยียานยนต์อย่างต่อเนื่อง แม้ว่าอาจมีความล่าช้าบ้างก็ตาม
ทั้งนี้ นิคมฯเหมราช ยังคงเป็นเป้าหมายของการลงทุนข้ามชาติขนาดใหญ่อย่างต่อเนื่องและเพิ่มขึ้นโดยลำดับ นอกจากนี้โรงงานประกอบรถยนต์ 4 รายที่ตั้งอยู่ในนิคมฯ เหมราช ก็ได้รับการอนุมัติโครงการ Eco Car 2 เรียบร้อยแล้ว
สำหรับครึ่งแรกปี 58 พื้นที่ให้เช่าของโรงงานสำเร็จรูปภายใต้กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าเหมราชอินดัสเตรียล (HPF) มีจำนวนใกล้เคียงเดิมคือ 300,634 ตร.ม.ในขณะที่บริการคลังสินค้าให้เช่าของ HEMRAJ มีพื้นที่เพิ่มขึ้น 1,343 ตร.ม. หรือคิดเป็น 2% จากยอดรวมของปี 57
ธุรกิจโรงไฟฟ้า โครงการโรงไฟฟ้าอิสระเก็คโค่-วัน ขนาด 660 เมกกะวัตต์ (IPP) เป็นโรงไฟฟ้าถ่านหินที่ HEMRAJ ถือหุ้น 35% และบริษัทโกลว์ถือหุ้น 65% (GDF Suez group) สามารถผลิตไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ได้เพียง 73% ในครึ่งแรกปี 58 เนื่องจากมีการปิดซ่อมบำรุงตามแผนงานเป็นเวลา 5 สัปดาห์ในไตรมาส 1/58 และปิดซ่อมบำรุงนอกเหนือจากแผนงานเป็นเวลา 6 วันในไตรมาสที่ 2 ปี 2558 โดยบริษัทเหมราชฯ ได้รับส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมทุนในธุรกิจไฟฟ้าและสาธารณูปโภค (ไม่รวมกำไรหรือขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่ได้เกิดขึ้นจริง) เป็นจำนวน 771.0 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 16 เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรกของปีก่อนหน้า
นอกจากนี้ HEMRAJ ลงนามในข้อตกลงถือหุ้นกับบริษัทบี.กริม และบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ ในช่วงไตรมาส 1/58 เพื่อพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าขนาดเล็กอีก 7 โครงการ โดยคาดว่าจะเริ่มผลิตกระแสไฟฟ้าได้ตั้งแต่ปี 60 เป็นต้นไป และการลงทุนครั้งนี้จะช่วยส่งผลให้กำลังการผลิตไฟฟ้าในส่วนที่เหมราชถือครองเพิ่มขึ้นจาก 318 เมกกะวัตต์ เป็นทั้งสิ้น 538 เมกกะวัตต์ ภายในปี 62
และตามรายงานเมื่อวันที่ 20 เม.ย.58 หลังจากจบไตรมาส บริษัท ดับบลิวเอชเอ เวนเจอร์ โฮลดิ้ง จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ บมจ.ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น(WHA) ได้เข้าซื้อหุ้นของ HEMRAJ คิดเป็น 92.88% จากจำนวนหุ้นทั้งหมดของ HEMRAJ โดยก่อนหน้านี้ ได้มีการขอซื้อหุ้น 22.53% จากผู้ถือหุ้นที่เป็นกลุ่มผู้ก่อตั้งบริษัทฯ ไปแล้วสองราย
การผนึกกำลังความเป็นผู้นำของ WHA และ HEMRAJ จะทำให้ทั้งสองบริษัทสามารถนำเสนอสินค้าและบริการด้านนิคมอุตสาหกรรม ระบบสาธารณูปโภค โรงไฟฟ้า และโลจิสติกส์ที่ครบวงจรให้แก่ลูกค้า และสร้างเสริมความสำเร็จร่วมกันต่อไป
บริษัทฯ มีแหล่งรายได้จากหลายธุรกิจหลัก คือ ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม ธุรกิจสาธารณูปโภค ธุรกิจพลังงาน และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จากผลการดำเนินงานครึ่งแรกปี 58 ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่ท้าทาย บริษัทได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการสร้างผลกำไรจากการลงทุนที่ก่อให้เกิดรายได้อย่างต่อเนื่อง โดยกลยุทธ์ของบริษัทยังคงมุ่งเน้นการสร้างผลตอบแทนสูงสุดให้แก่ผู้ถือหุ้นในระยะยาวเป็นหลัก