PTTGC คาดกำไรปีนี้ดีกว่าปีก่อนแม้รายได้ลดลง,ศึกษาแผนขยายผลิตโอเลฟินส์

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday August 17, 2015 17:10 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล(PTTGC) คาดว่ากำไรสุทธิปีนี้จะดีกว่าปีก่อนที่มีกำไร 1.5 หมื่นล้านบาท แม้รายได้อาจลดลงตามราคาผลิตภัณฑ์ที่อ่อนตัว แต่ส่วนต่าง(สเปรด)ราคาผลิตภัณฑ์โอเลฟินส์อยู่ในระดับสูง และธุรกิจอะโรเมติกส์คาดว่าจะไม่ขาดทุนในปีนี้ รวมถึงเชื่อว่าผลกระทบจากสต็อกน้ำมันมากเหมือนในปีก่อน จึงน่าจะช่วยหนุนกำไรทั้งปีนี้ ขณะที่ศึกษาแผนการขยายกำลังการผลิตโอเลฟินส์ราว 6 แสนตัน/ปีที่ใช้แนฟทาเป็นวัตถุดิบเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มผลิตภัณฑ์ คาดชัดเจนปลายปีนี้

นายปฏิภาณ สุคนธมาน รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงินและบัญชี PTTGC คาดว่ากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย,ภาษี,ค่าเสื่อม และค่าตัดจำหน่าย(EBITDA)ที่ไม่รวมผลกระทบจากสต็อกน้ำมันในปีนี้จะดีกว่าปีก่อน ซึ่งจะผลักดันให้กำไรสุทธิในปีนี้เพิ่มสูงขึ้น โดยในช่วงครึ่งปีแรกกำไรสุทธิสูงถึง 1.46 หมื่นล้านบาทแล้ว จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไร 1.24 หมื่นล้านบาท

ขณะที่คาดว่าในช่วงที่เหลือของปีนี้ผลประกอบการจะยังคงดีต่อเนื่อง โดยธุรกิจโรงกลั่นคาดว่าจะอ่อนตัวลงในช่วงไตรมาส 3/58 ตามสเปรดราคาน้ำมันอ่อนตัวลง โดยเฉพาะเบนซิน เนื่องจากไม่ใช่ช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว แต่เชื่อว่าธุรกิจโรงกลั่นจะฟื้นตัวดีขึ้นในไตรมาส 4/58 ส่วนธุรกิจอะโรเมติกส์จะยังอยู่ในระดับทรงตัว ไม่แกว่งตัวแรงเหมือนปีก่อน แม้สเปรดยังอยู่ระดับต่ำแต่เชื่อว่าปีนี้ผลดำเนินงานอะโรเมติกส์จะไม่ขาดทุนเหมือนปีที่แล้ว

ด้านธุรกิจโอเลฟินส์นับว่าอยู่ในระดับที่ดีมาก ปัจจุบันสเปรดผลิตภัณฑ์โพลีเอทิลีนชนิดความหนาแน่นสูง(HDPE)อยู่ที่ราว 800 เหรียญสหรัฐ/ตัน และคาดว่าทั้งปีจะยืนอยู่ระดับ 700-800 เหรียญสหรัฐ/ตัน สูงกว่าเฉลี่ยที่ 682 เหรียญสหรัฐ/ตันในปีที่แล้ว เป็นผลจากความต้องการใช้ที่ยังคงเติบโตได้ราว 4% ต่อปี ขณะที่กำลังการผลิตใหม่ที่เข้าสู่ตลาดไม่มากนัก โดยคาดว่าวัฏจักรขาขึ้นของธุรกิจดังกล่าวจะยังคงอยู่ในช่วง 2-3 ปีจากนี้

ส่วนเศรษฐกิจจีนที่มีแนวโน้มชะลอตัวลงและค่าเงินหยวนที่อ่อนค่า ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อผลิตภัณฑ์ของบริษัทมากนัก เพราะมีการส่งออกไปจีนราว 10% ของยอดการส่งออกทั้งหมดที่มีสัดส่วน 30% ของกำลังการผลิตรวม ที่เหลือเป็นการส่งออกไปยังตลาดอื่นๆทั่วโลก และยังเชื่อว่าสินค้าที่ส่งไปขายในจีนเป็นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ที่ยังเป็นที่ต้องการของตลาด ไม่ว่าภาวะเศรษฐกิจจะดีหรือไม่ก็ตาม

"ปีนี้ผลประกอบการในแง่กำไรดีกว่าปีที่แล้ว แต่รายได้เทียบกับไม่ได้รายได้ต่ำกว่าแน่ๆ เพราะดูที่ราคาต่ำกว่า...สเปรด ของ HDPE อยู่ที่กว่า 800 เหรียญสหรัฐ/ตันค่อนข้างสูงมาก ปีนี้เป็น up cycle ของเม็ดพลาสติกอย่างแท้จริง demand เม็ดพลาสติกไม่ได้ปรับลดลง"นายปฎิภาณ กล่าว

นายปฎิภาณ กล่าวอีกว่า ยังคงต้องติดตามทิศทางราคาน้ำมันดิบในช่วงที่เหลือของปีนี้ด้วย เพราะอาจส่งผลกระทบต่อสต็อกผลิตภัณฑ์ในช่วงปลายปี แต่เชื่อว่าจะไม่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงเหมือนในปีที่ผ่านมาที่มีผลขาดทุนจากสต็อกน้ำมันจำนวนมาก เนื่องจากราคาน้ำมันดิบช่วงปลายปีลดลงราว 50% จากช่วงต้นปี แต่ในปีนี้ราคาน้ำมันดิบช่วงต้นปีอยู่ในระดับต่ำแล้ว ทำให้คาดว่าราคาน้ำมันดิบในช่วงปลายปีนี้คงจะไม่ลงไปต่ำมากเหมือนปีที่ผ่านมา

อีกทั้งบริษัทได้ทำประกันความเสี่ยงราคาน้ำมันดิบในปีนี้ไว้แล้ว 60% เป็นช่วงกรอบราคาต่ำสุดและสูงสุด โดยต่ำสุดอยู่ที่ 60 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ซึ่งหากราคาน้ำมันปรับลดต่ำกว่า 60 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลก็จะไม่ได้รับผลกระทบ ส่วนกรอบราคาสูงสุด นายปฏิภาณ ไม่ได้เปิดเผย

*แผนลงทุน

นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ PTTGC กล่าวว่า บริษัทยังคงงบลงทุนตามแผน 5 ปี(ปี 58-62) ที่ระดับ 4.5-5.0 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อขยายงานตามแผน รวมถึงศึกษาการลงทุนโครงการใหม่เพิ่มเติม โดยล่าสุดศึกษาการนำผลผลิตแนฟทามาสร้างมูลค่าเพิ่มมากขึ้น จากเดิมที่บริษัทส่งออกแนฟทาที่ผลิตได้ทั้งหมด 1.32 ล้านตัน/ปี

แต่เนื่องจากปัจจุบันราคาแนฟทาปรับลดลงมากตามราคาน้ำมันดิบที่คาดว่าจะยังอยู่ในระดับต่ำต่อไปในช่วง 5 ปีข้างหน้า ประกอบกับแนวโน้มปริมาณก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทย ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักผลิตโอเลฟินส์ของบริษัทจะลดลงในอนาคต ดังนั้น บริษัทจึงได้ศึกษาที่จะนำแนฟทามาใช้ผลิตโอเลฟินส์ ซึ่งจากปริมาณแนฟทาที่มีอยู่สามารถผลิตโอเลฟินส์ได้ 6 แสนตัน/ปี แบ่งเป็นเอทิลีนราว 4 แสนตัน/ปี และโพรพิลีน 2.1 แสนตัน/ปี จากปัจจุบันที่บริษัทมีการผลิตโอเลฟินส์ราว 2.9 ล้านตัน/ปี รวมถึงหากมีการผลิตโอเลฟินส์เพิ่มขึ้นก็จะสามารถต่อยอดผลิตผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีขั้นปลายอื่นๆที่บริษัทยังไม่ได้ผลิต เช่น PP,SM, Acrylic Acid ,SAP เป็นต้น

ทั้งนี้ คาดว่าโครงการจะมีความชัดเจนในปลายปีนี้ ซึ่งการดำเนินโครงการดังกล่าวอยู่ภายใต้แผน Map ta Phut Retrofit ซึ่งเป็นการเพิ่มความยืดหยุ่นด้านวัตถุดิบ การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และสร้างมูลค่าเพิ่มผลิตภัณฑ์ โดยคาดว่าจะมีการดำเนินการได้ก่อนปี 63

รวมถึงบริษัทได้ศึกษาตั้งนิคมอุตสาหกรรมด้านไบโอพลาสติก(ไบโอฮับ) เพื่อรองรับการผลิตพลาสติกชีวภาพในอนาคต คาดว่าจะสรุปได้ในปลายปีนี้เช่นเดียวกัน ส่วนความคืบหน้าโครงการโพลียูริเทนคอมเพล็กซ์ในไทยนั้น ล่าสุดได้ทำสัญญาข้อตกลงเบื้องต้น(HOA)2 สัญญา เพื่อร่วมศึกษาการร่วมลงทุนโครงการผลิตโพรพิลีน ออกไซด์(PO)กำลังการผลิด 2 แสนตัน/ปี กับบริษัท โตโยต้า ทูโช คอร์ปอเรชั่น(TTC) และศึกษาการร่วมทุนโครงการผลิตโพลีอีเทอร์ โพลิออล (Polyols)กำลังการผลิด 1.3 แสนตัน/ปี กับทาง TTC และบริษัท ซันโย เคมิคอล อินดัสตรีส์ (SCI) มูลค่าลงทุนทั้งสองโครงการราว 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ

โครงการ PO นั้น คาดว่า PTTGC จะถือหุ้นในสัดส่วน 85-90% และ TTC ถือหุ้นสัดส่วน 10-15% ส่วนโครงการ Polyols นั้น ทาง PTTGC จะถือหุ้นราว 60-70% ส่วนที่เหลือ 30-40% เป็นสัดส่วนถือหุ้นของ TTC และ SCI ซึ่งทั้งสองโครงการคาดว่าจะมีความชัดเจนและสรุปการตัดสินใจลงทุนในราวไตรมาส 3/59 และหากมีการดำเนินการก็คาดว่าจะเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในไตรมาส 2/62

Polyols เป็นวัตถุดิบหลักในการผลิต Polyurethane foams ( PU Foam ) คุณภาพสูง ที่ใช้อย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรมยานยนต์, อุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์และเครื่องนอน, อุตสาหกรรมก่อสร้าง, อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และอุปกรณ์ไฟฟ้า

นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวอีกว่า ส่วนความคืบหน้าของโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ในสหรัฐที่มีมูลค่าลงทุนเบื้องต้นราว 5.7 พันล้านเหรียญสหรัฐนั้น ยังคงอยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้ตั้งแต่การออกแบบก่อสร้าง การหาวัตถุดิบ การหาแหล่งเงินกู้ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการใช้เงินกู้โครงการ(project finance) ซึ่งในส่วนนี้คาดว่าจะมีธนาคารพาณิชย์ของไทย 7 แห่งเข้าร่วมด้วย คาดว่าจะสรุปและตัดสินใจได้ว่าจะมีการลงทุนหรือไม่ในปี 59

ขณะที่โครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ในอินโดนีเซีย ยังคงเลื่อนการพิจารณาการลงทุนออกไป หลังทางอินโดนีเซียมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ประกอบกับราคาพลังงานอยู่ในระดับต่ำ รวมถึงค่าเงินอินโดนีเซียก็อ่อนค่าลงด้วย ทำให้การศึกษาและการพิจารณาการลงทุนยังไม่เร่งรีบมากนัก แต่บริษัทก็ยังคงให้ความสนใจในโครงการดังกล่าวเพราะตลาดอินโดนีเซียมีขนาดใหญ่มาก


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ