สำหรับเหตุระเบิดที่แยกราชประสงค์เมื่อคืนนี้ มองว่าคงมีผลกระทบต่อตลาดแค่ในช่วงสั้น เพราะในอดีตก็เคยเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงมาแล้ว และภาพรวมประเทศยังมีความสงบกว่าประเทศอื่น
"คนจีนถ้ามีเงินก็ท่องเที่ยว fund flow พร้อม ประเทศที่แรกที่มองก็ยังเป็นไทย คนญี่ปุ่นก็มองเรื่องธุรกิจเป็นหลัก เพราะลูกค้าญี่ปุ่นส่วนใหญ่ที่มาซื้อคอนโดฯจะเป็น 2 พวก คือ ซื้ออยู่หลังเกษียณและพวกที่ทำงานหลังจากจบใหม่ เพราะอุตสาหกรรม auto ในไทยเยอะมาก โดยเฉพาะทำเลศรีราชา ชลบุรี และระยอง ยังได้รับความสนใจ ซึ่งโครงการที่ศรีราชา การปล่อยเช่าลูกค้าญี่ปุ่นผลตอบแทนสูงมากซึ่งตลาดเช่าที่ศรีราคาซัพพลายไม่พอ เพราะโรงงานเยอะมาก"
"หุ้นของเราเป็นหุ้นอสังหาฯขนาดกลาง คิดว่าสถาบันในประเทศต้องการเพราะหุ้นในกระดานเล่นยาก มีดีมานด์ตลาด IPO เข้ามาอีกรอบ ส่วนเหตุระเบิดที่แยกราชประสงค์ มองว่ากระทบแค่ช่วงสั้น"นายพีระพงศ์ กล่าว
ทั้งนี้ จุดเด่นของบริษัทอยู่ที่การทำอัตรากำไรสุทธิที่สูงถึง 21% โดยกำไรสุทธิครึ่งแรกปี 58 อยู่ที่ 230 ล้านบาท สูงกว่างวดเดียวกันปีก่อนที่มีกำไร 6 ล้านบาท และกำไรสุทธิทั้งปี 57 อยู่ที่ 70 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทที่ต้นทุนที่ดินราคาถูก เพราะประเมินแนวโน้มการพัฒนาโครงการในอนาคตจากโครงการรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายเป็นหลักจึงจัดซื้อที่ดินรอไว้พัฒนา ประกอบกับ การเจรจากับผู้รับเหมาก่อสร้างได้เงื่อนไขที่ดีทั้งคุณภาพและระยะเวลาก่อสร้าง นอกจากนี้ ส่วนใหญ่บริษัทจะเปิดคอนโดฯแบบโลว์ไรซ์ ราว 200-300 ยูนิตต่อโครงการ ทำให้หมุนรอบได้เร็ว ด้วยการสร้างเสร็จภายใน 1 ปี
"เราจะมองหาซื้อที่ดินทำเลใหม่ๆไว้ก่อน ช่วงที่ตลาดยังเป็นของผู้ซื้อ เลือกแปลงได้ เป็นที่มาที่ต้นทุนที่ดินและค่าก่อสร้างเราต่ำกว่าผู้ประกอบการรายอื่น แต่เราก็ซื้อที่ดิน 1-2 ปี ไม่สต็อกเยอะจะได้เห็น trend ด้วยว่าตรงไหนจะมา แต่ก็ไม่ได้มี land bank เยอะ"นายพีระพงศ์ กล่าว
นายพีระพงศ์ กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้าปี 58 จะมียอดรับรู้รายได้ที่กว่า 2,000 ล้านบาท จากปี 57 มีรายได้ 559 ล้านบาท โดยครึ่งปีแรกมีรายได้แล้ว 1,080 ล้านบาท ขณะที่มียอดขายรอรับรู้รายได้ (backlog)กว่า 5,000 ล้านบาทที่จะทยอยรับรู้ใน 1-2 ปีนี้ และปีนี้ตั้งเป้ายอดพรีเซล 6,000 ล้านบาท โดย 7 เดือนมียอดขายแล้ว 3,400 ล้านบาทในช่วงที่เหลือของปีตามแผนจะเปิดโครงการคอนโดมีเนียมใหม่เพิ่มอีก 3-4 โครงการ ได้แก่ โครงการไนท์บริดจ์ ดิ โอเชียน ศรีราชา เป็นคอนโดมิเนียม 35 ชั้น มูลค่าโครงการ 2,500 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะเปิดขายโครงการ ก.ย.นี้
ทั้งนี้ โครงการคอนโดส่วนใหญ่เราะมองแนวรถไฟฟ้าและส่วนต่อขยาย เช่น แคราย-รัตนาธิเบศร์ เกษตร-สะพานใหม่ และนิคมฯทางตะวันออก ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 1-3 ล้านบาท ขนาดห้อง 25-30 ตร.ม. ราคาตั้งแต่ 5-9 หมื่นบาท/ตร.ม.
"การรับรู้รายได้ของเรามีต่อเนื่อง มีโครงการโอนทุกไตรมาส โดยเราจะเรียงลำดับการโอนไว้ เนื่องจากเรามี Low Rise เยอะ จะหมุนรอบเร็วจะมีการโอนทุกไตรมาสจนถึงสิ้นปี ปี 59 ก็คาดว่ารายได้จะเติบโตต่อเนื่องเพราะมีแบล็กล็อกเกือบ 6,000 ล้านบาท ที่จะรับรู้ไปถึงปีหน้า"นายพีระพงศ์ กล่าว
ขณะที่บริษัทกระตุ้นยอดขายโดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าต่างประเทศต่อเนื่อง ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทฯได้นำเสนอข้อมูลของโครงการคอนโดมิเนียมทั้งแบบ Low Rise และ High Rise ที่ประเทศสิงคโปร์ ญี่ปุ่น จีน และไต้หวัน โดยเฉพาะญี่ปุ่นสนใจเยอะมาก ซึ่งปัจจุบันลูกค้าต่างประเทศอันดับแรกเป็น ญี่ปุ่น รองลงมา จีน ซึ่งเรามีทีมเซลล์อินเตอร์ที่มีศักยภาพช่วยส่งเสริมการขายของบริษัทฯ
"ปี 58 จะพยายามรักษาอัตรากำไรสุทธิที่ 21% เท่าครึ่งแรก จากการที่บริหารจัดการได้ดี บุกเบิกทำเลก่อน ราคาที่ดินที่ไม่แพง เลือกได้ เจรจาราคาผู้รับเหมาฯได้ราคาที่เหมาะสม ก็เชื่อว่าหุ้นจะได้รับความสนใจจากนักลงทุน"นายพีระพงศ์ กล่าว