ทั้งนี้ ก.ล.ต.ได้รับแจ้งจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)และตรวจสอบเพิ่มเติมพบว่า ระหว่างวันที่ 16 - 18 ตุลาคม 2556 นายไพบูลย์ขายหุ้น EMC จำนวน 5,950,000 หุ้น และ EMC-W3 จำนวน 8,900,000 หน่วย ในบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ของอดีตภรรยา โดยอาศัยข้อมูลที่ยังไม่ได้เปิดเผยต่อประชาชนเกี่ยวกับผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2556 ของบริษัทที่มีผลขาดทุนสุทธิสูงอย่างมีนัยสำคัญจำนวน 1,179.10 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าที่มีผลขาดทุนสุทธิ 30.80 ล้านบาท ซึ่งนายไพบูลย์ได้ล่วงรู้ข้อมูลดังกล่าวจากการเป็นกรรมการผู้จัดการ สายงานวิศวกรรมของ EMC
การกระทำของนายไพบูลย์เป็นการซื้อขายหลักทรัพย์โดยใช้ข้อมูลภายในเพื่อประโยชน์ส่วนตนและผู้อื่น เป็นการเอาเปรียบผู้ลงทุนอื่น ผิดมาตรา 241 ซึ่งต้องระวางโทษตามมาตรา 296 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 โดยที่นายไพบูลย์ยินยอมเข้ารับการเปรียบเทียบ คณะกรรมการเปรียบเทียบจึงได้เปรียบเทียบปรับนายไพบูลย์เป็นเงิน 6,028,563.75 บาท
นายวสันต์ เทียนหอม รองเลขาธิการ ก.ล.ต. กล่าวว่า “ในกรณีที่บริษัทจดทะเบียนยังมิได้เปิดเผยข้อมูลภายในที่มีนัยสำคัญอันมีผลกระทบกับการเปลี่ยนแปลงของราคาหลักทรัพย์ บุคคลซึ่งมีตำแหน่งหรือฐานะที่ล่วงรู้ข้อมูลภายในต้องงดเว้นการซื้อขายหลักทรัพย์โดยใช้ข้อมูลภายในดังกล่าว มิฉะนั้น ก.ล.ต. จะดำเนินการเอาผิดอย่างเคร่งครัดเพราะถือว่าเป็นการกระทำที่บั่นทอนความเชื่อมั่นของผู้ลงทุนและความน่าเชื่อถือของตลาดทุนโดยรวม"