ดังนั้น บริษัทจึงมีแผนจะนำกำไรจากการดำเนินงานมาล้างขาดทุนสะสมที่มีอยู่ประมาณ 57 ล้านบาทให้หมดภายในปีนี้ และหลังจากนั้นบริษัทก็มีโอกาสที่จะพิจารณาจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นหลังจากหยุดจ่ายมาสักระยะแล้ว แต่ขณะนี้ยังไม่ได้กำหนดนโยบายการจ่ายปันผลชัดเจน
สำหรับรายได้ในปีนี้คาดว่าจะมากกว่าปีก่อนที่มีรายได้ 512 ล้านบาท โดยสัดส่วนรายได้ประมาณ 90% มาจากธุรกิจพลังงานทดแทน และส่วนที่เหลือมากจากธุรกิจ ICT โดยปัจจุบันบริษัทมีกำลังการผลิตไฟฟ้า 23.59 เมกกะวัตต์ ซึ่งจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์(COD)ทั้งหมดแล้ว แบ่งเป็น โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ จำนวน 3 แห่ง ในลำพูน เชียงใหม่ และตาก กำลังการผลิตรวม 9.09 เมกะวัตต์ โรงไฟฟ้าพลังงานขยะ (MSW Power plant) 1 แห่งที่สงขลา กำลังการผลิตตามสัญญา 6.7 เมกะวัตต์ โรงไฟฟ้าชีวมวลที่สระแก้ว กำลังการผลิต 8 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าก๊าซชีวภาพ (Biogas Power Plant) จำนวน 1 แห่ง
"รายได้ของเรามาจากพลังงานทดแทน ซึ่งเรามีการลงทุนทุกพลังงานทดแทน เป็นการสร้างความหลากหลายให้บริษัท โดยปัจจุบันบริษัทมีกำลังการผลิต 23.59 เมกกะวัตต์ และอนาคตเรายังไม่ได้ตั้งเป้ากำลังการผลิตรวมที่ชัดเจน แต่การขยายธุรกิจพลังงานเราจะเป็นการเติบโตแบบซื้อกิจการมากกว่าลงทุนเอง แต่ทั้งนี้ก็ต้องดูผลตอบแทนประกอบการตัดสินใจ ซึ่งเราก็เปิดโอกาสในทุกๆด้าน"นายณรงค์กล่าว
นอกจากนี้ บริษัทอยู่ระหว่างศึกษาลงทุนโรงไฟฟ้าชีวมวล ขนาดกำลังการผลิต 8 เมกกะวัตต์ในสระแก้วเพิ่มอีก คาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 400-500 ล้านบาทมาจากเงินกู้ และคาดว่าจะสรุปการลงทุนภายในปลายปีนี้ อีกทั้งยังอยู่ระหว่างสำรวจและศึกษาขยายธุรกิจแปรรูปขยะพลาสติกเป็นน้ำมันในประเทศกัมพูชา ซึ่งได้มีการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนกับพันธมิตรท้องถิ่น คาดว่าจะสรุปแผนลงทุนในอีก 6 เดือนข้างหน้า