"ราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลงทำให้ความต้องการใช้ปรับตัวสูงขึ้นตามไปด้วย ทำให้เราเชื่อว่าความต้องการใช้ และปริมาณการผลิตจะเข้าสู่จุดสมดุล ทำให้ปริมาณความต้องการใช้ และปริมาณการผลิตเข้าสู่จุดสมดุล จะทำให้ราคาค่อยๆปรับตัวสูงขึ้น ในขณะเดียวกันเราก็ได้มีการบริหารจัดการเรื่องต้นทุนส่งผลให้มาจิ้นสูงขึ้น ในขณะเดียวกันส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ในกลุ่มปิโตรเคมีก็ปรับตัวสูงขึ้น ตามราคาน้ำมันที่ลดลง แต่ราคาขายยังคงอยู่ในระดับที่ดี เพราะมีดีมานด์เข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในสหรัฐฯ"นางสาวภัทรลดา กล่าว
นางสาวภัทรลดา กล่าอวีกว่า บริษัทมั่นใจว่าปีนี้ผลประกอบการจะพลิกกลับมามีกำไร จากปีก่อนที่ขาดทุน 4,025.89 ล้านบาท ถึงแม้ว่าไตรมาส 3/58 อาจจะต้งอรับขาดทุนจากสต๊อกน้ำมันเนื่องจากต้นทุน ณ เดือน มิ.ย.58 ที่ 62 เหรียญ/บาร์เรล แต่ราคาปรับตัวลดลงไปต่ำกว่า 50 เหรียญ/บาร์เรล โดย ณ 20 ส.ค.58 ลงไปถึงระดับ 46 เหรียญ/บาร์เรล
แต่อย่างไรก็ตามเชื่อว่าไตรมาสนี้จะเป็นจุดต่ำสุดของราคาน้ำมันในปีนี้ และจะทยอยปรับเพิ่มขึ้นในไตรมาส 4/58 ตามความต้องการใช้ในหน้าหนาว ซึ่งปกติจะมีดีมานด์สูงสุดในแต่ละปี ประกอบกับซัพพลายในตลาดโลกยังคงทรงตัวทำให้ราคาน้ำมันเข้าภาวะสมดุลมากยิ่งขึ้น โดยคาดว่าทั้งปีนี้ราคาน้ำมันจะอยู่ที่เฉลี่ย 60 เหรียญ/บาร์เรล และแนวโน้มี 59 จะปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
สำหรับโครงการที่อยู่ระหว่างการลงทุนคือ โครงการผลิตสาร Linear Alkyl Benzene (LAB) วัตถุดิบสำคัญในอุตสาหกรรมการผลิตผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดและสารซักล้าง ที่จะเริ่มเดินเครื่อง ม.ค.59 โดยเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มจากผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี ซึ่งจะเพิ่ม EBIDA ให้กับบริษัทฯ ราว 1,000 ล้านบาท/ปี
นอกจากนี้ ยังมีโครงการโรงไฟฟ้าขนาดเล็กกำลังการผลิต 239 เมกกะวัตต์จะเริ่มจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ในไตรมาส 2/59 ซึ่งจะทำให้บริษัทมีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวมเพิ่มเป็น 459 เมกะวัตต์ สร้าง EBIDA ให้กับกลุ่มฯ 1,000-2,000 ล้านบาท/ปี และจะทำให้สัดส่วน EBIDA ของธุรกิจไฟฟ้าเพิ่มเป็น 15% จากปัจจุบันที่ 10%
นางสาวภัทรลดา กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทฯได้มีการศึกษาธุรกิจสถานีจำหน่ายน้ำมันในประเทศ อินโดนีเซีย เวียดนาม และเมียนมาร์ เพื่อต่อยอดธุรกิจโรงกลั่นที่มีหรือกำลังจะสร้างในประเทศดังกล่าว แต่ยังไม่มีข้อสรุปใดๆ ในขณะนี้ แต่เบื้องต้นคาดว่าจะเป็นลักษณะการร่วมทุน