กองทุนมีนโยบายเน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศเพียงกองทุนเดียว (Feeder Fund) ได้แก่ Janus Global Life Sciences Fund ชนิดหน่วยลงทุน I Share Class (Institutional Share Class) ในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐอเมริกา (USD) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน บริหารงานโดย Janus Capital Management LLC ที่มีประสบการณ์เชี่ยวชาญด้านการลงทุนกว่า 46 ปี จดทะเบียนภายใต้กฎหมายของประเทศไอร์แลนด์ และอยู่ภายใต้มาตรฐานเพื่อการซื้อขายกองทุนข้ามประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรป หรือ UCITS ต่างประเทศ (Undertaking for Collective Investments in Transferable Securities) ทั้งนี้SCBGHC ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนไม่น้อยกว่าร้อยละ 90 ของสินทรัพย์ที่ลงทุนในต่างประเทศ
โดยกองทุน Janus Global Life Sciences Fund มีวัตถุประสงค์การลงทุนเพื่อการเติบโตในระยะยาว เน้นการลงทุนในหุ้นของบริษัทต่างๆ ทั่วโลก ในกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์ในการดำเนินชีวิต (Life Sciences) หรือศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับการรักษาหรือยกระดับคุณภาพชีวิต ได้แก่ บริษัทด้านการวิจัย พัฒนา ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์หรือบริการที่เกี่ยวข้องสุขภาพ ผลิตภัณฑ์เพื่อการดูแลตัวเอง การแพทย์หรือเภสัชกรรม รวมไปถึงบริษัทที่มีศักยภาพในการเติบโตหลักมาจากผลิตภัณฑ์ เทคโนโลยี การจดสิทธิบัตร หรือตลาดอื่นใดที่ได้รับประโยชน์จากวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิต เป็นต้น นอกจากนี้กองทุน Janus Global Life Sciences ยังมีทีมบริหารที่มีประสบการณ์สูง และมี track record ผลการดำเนินงานที่โดดเด่น ชัดเจนในอุตสาหกรรม และมีแนวทางลงทุนที่ชัดเจนแบบวิเคราะห์เพื่อสร้างมูลค่า รวมถึงการได้รับรางวัลต่างๆและจัดอันดับ 5 ดาว จาก Morning Star และ Lipper Awards (ตั้งแต่ปี 2555 – ปัจจุบัน) เป็นต้น
สำหรับผลการดำเนินงานของกองทุน Janus Global Life Sciences Fund ที่ผ่านมาสามารถเอาชนะเกณฑ์มาตรฐาน (MSCI World Healthcare Net Total Return Index) ได้อย่างต่อเนื่อง สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 17.06% , 1 ปี อยู่ที่ 37.25% และ 3 ปี อยู่ที่ 160.33% ขณะที่ผลตอบแทนของดัชนีอยู่ที่ 9.94% 17.19%, และ 91.14% ตามลำดับ (ข้อมูล ณ มิถุนายน 2558)
ทั้งนี้ มองว่าการลงทุนในหุ้นกลุ่ม Healthcare ทั่วโลกยังมีการเติบโตของกำไรได้ดีอย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่น่าสนใจลงทุนในระยะยาว เนื่องจากสัดส่วนประชากรผู้สูงอายุทั่วโลกมีแนวโน้มสูงขึ้น ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการดูแลด้านสุขภาพเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ข้อมูลองค์การอนามัยโลกระบุว่าสัดส่วนประชากรผู้สูงอายุที่มีอายุมากกว่า 65 ปีนั้น มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจาก 5% ในปี 1950 เป็น 17% ในปี 2050 ซึ่งกลุ่มดังกล่าวเป็นกลุ่มที่มีค่าใช้จ่ายในการดูแลสุขภาพสูงกว่ากลุ่มอื่นเฉลี่ยกว่า 3 เท่า ประกอบกับนวัตกรรมทางการแพทย์และความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีถูกพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว สามารถตอบสนองความต้องการทางการแพทย์ได้เพิ่มขึ้น เป็นผลให้บริษัทมียอดขายและบริการทางการแพทย์เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง
"หุ้นกลุ่มHealthcare เป็นหุ้น Defensive Stocks จากสถิติย้อนหลัง 5 ปีที่ผ่านมาดัชนีหุ้นกลุ่ม Healthcare ยังให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าดัชนีหุ้นโลกในช่วงที่เกิดวิกฤต เช่น ในปี 2011 ซึ่งอยู่ในช่วงวิกฤตหนี้โซนยุโรป ดัชนี MSCI Health Care Index ยังสามารถให้ผลตอบแทนที่สูงถึง 9.5% ในขณะที่ดัชนี MSCI World Index ติดลบอยู่ที่ -5.5% โดยที่ผ่านมาหุ้นในกลุ่ม Healthcare มีกำไรต่อหุ้น (EPS) ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ราคาเมื่อเทียบกับกำไร (P/E Ratio) ณ กรกฎาคม 2558 อยู่ที่ 18.78 เท่า ถือว่ายังไม่สูงเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาซึ่งอยู่ที่ 18.25 เท่า"นายสมิทธ์กล่าว