แต่อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าราคาน้ำตาลได้ผ่านจุดต่ำสุดแล้ว คาดว่าจะเริ่มทยอยปรับตัวขึ้นได้ตั้งแต่ไตรมาส 4/58 เป็นต้นไป ขณะที่ยังมีปัจจัยมาจากเรื่องของประเทศบราซิลปรับลดค่าเงิน และยังอยู่ระหว่างรอภาครัฐ จากรัฐยังไม่ได้ชดเชยเงินกลับมาให้แก่บริษัทฯ หลังมีการจ่ายเงินค่าอ้อยให้แก่เกษตรกรล่วงหน้า
ทั้งนี้ ในปีนี้บริษัทฯจะมีสัดส่วนรายได้มาจากธุรกิจชีวพลังงานและผลิตภัณฑ์ที่ได้จากวัตถุในการผลิตน้ำตาลราว 26% และธุรกิจน้ำตาล 74% โดยคาดหวังจะขยับสัดส่วนในธุรกิจชีวพลังงานฯขึ้นเป็น 30% ภายในปี 60 ซึ่งบริษัทฯมีแผนจะกระจายความเสี่ยงไปยังธุรกิจชีวพลังงานมากขึ้น โดยในช่วงไตรมาส 4/58 คาดว่าจะเริ่มจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์จากโรงไฟฟ้าชีวพลังงานเข้ามาอีก 2 แห่ง มีกำลังการผลิตรวม 100 เมกะวัตต์ จากต้นปีที่ผ่านมามีการรับรู้รายได้ของโรงไฟฟ้าชีวพลังงานฯแห่งแรก กำลังการผลิต 60 เมกะวัตต์แล้ว
นอกจากนี้ บริษัทยังเล็งเห็นโอกาสในการกระจายความเสี่ยงของธุรกิจ โดยอยู่ระหว่างเจรจาร่วมทุนหรือซื้อกิจการในกลุ่มธุรกิจใกล้เคียงเพื่อให้เกิดความหลากหลาย จากปัจจุบันมีสัดส่วนรายได้กว่า 70% มาจากกลุ่มธุรกิจน้ำตาล ซึ่งที่ผ่านมาได้รับความผันผวนจากราคาตลาดโลก แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับดีลดังกล่าวได้ และคาดว่าน่าจะมีความชัดเจนมากขึ้นภายในปีนี้
“ขอให้ความมั่นใจกับนักลงทุนว่า KTIS ซึ่งเป็นบริษัทขนาดใหญ่ในธุรกิจอุตสาหกรรมน้ำตาลและอุตสาหกรรมต่อเนื่องเกือบ 50 ปี และสามารถผ่านพ้นวิกฤตการณ์ต่างๆ มาโดยตลอด ถึงแม้ช่วงนี้เศรษฐกิจโลกจะมีความผันผวนหลายด้าน ทั้งเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน อัตราดอกเบี้ย ราคาน้ำมัน และการชะลอตัวของเศรษฐกิจในหลายๆ ประเทศทั่วโลก แต่กลุ่ม KTIS ก็จะเดินหน้าต่อไปอย่างมั่นคง ด้วยการลงทุนอย่างระมัดระวัง และศึกษาวิจัยเป็นอย่างดีแล้วว่าทุกการลงทุนจะให้ผลตอบแทนที่ดีในอนาคต" ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายธุรกิจชีวพลังงานและผลิตภัณฑ์ กลุ่ม KTIS กล่าว
ทั้งนี้ ด้วยกำลังการผลิตของโรงงานน้ำตาลในกลุ่ม KTIS ที่มีอยู่ 3 โรงงาน รวม 88,000 ตันอ้อยต่อวัน โดยโรงงานที่ใหญ่ที่สุดมีกำลังการผลิต 55,000 ตันอ้อยต่อวัน ซึ่งถือว่าใหญ่ที่สุดในโลก ในการผลิตน้ำตาลทรายจึงได้ผลิตผลพลอยได้ (By product) ต่างๆ จำนวนมาก ที่สามารถใช้เป็นวัตถุดิบในการขยายธุรกิจไปยังอุตสาหกรรมต่อเนื่องอื่นๆ และสามารถบริหารต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีความได้เปรียบจากการประหยัดจากขนาด (Economies of Scale)
นอกจากนี้ เพื่อรองรับการเติบโตอย่างมั่นคงในอนาคต คณะกรรมการ KTIS จึงได้อนุมัติให้จัดตั้งบริษัท เคทิส วิจัยและพัฒนา จำกัด ขึ้นเป็นบริษัทย่อย เพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบ วิจัย คิดค้น และพัฒนาคุณภาพของผลิตภัณฑ์หรือวัตถุดิบ รวมถึงผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องจากอ้อยและน้ำตาล ซึ่งจะทำให้ผลิตภัณฑ์ของบริษัทมีคุณภาพดีขึ้น มีความหลากหลายมากขึ้น ตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าได้อย่างตรงจุดมากขึ้น