ขณะที่ค่าเงินบาทอ่อนค่ามาอยู่ที่ 35.70 บาท/ดอลลาร์ในเดือน ส.ค.58 เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในไตรมาส 2/58 เงินบาทอยู่ที่ 32.70 บาท/ดอลลาร์ ทำให้แนวโน้มรายได้ปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากปัจจุบันรายได้ส่วนใหญ่ของบริษัทส่วนใหญ่อยู่ในรูปของเงินดอลลาร์
ประกอบกับ ในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทได้เพิ่มอัตราการใช้กำลังการผลิตเป็น 70-80% เมื่อเทียบกับในช่วงครึ่งปีแรกอยู่ที่ 50-60% ซึ่งทำให้ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายคงที่ให้ลดลงราว 12% และผลักดันให้อัตรากำไรสูงขึ้น หลัง Warehouse สร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทำให้บริษัทสามารถผลิตได้ทั้ง 2 สายการผลิต
นายสมพล ยังกล่าวว่า บริษัทมั่นใจรายได้ปีนี้จะเติบโตได้ตามเป้าหมายที่ไม่ต่ำกว่า 20% จากปีก่อนที่มีรายได้รวม 1,858 ล้านบาท ปัจจุบันบริษัทมีงานในมือ (Backlog) เป็นการรับจ้างผลิต (OEM) อยู่ที่ 600 ล้านบาท ซึ่งจะรับรู้เป็นรายได้ในช่วงที่เหลือของปีนี้ราว 200 ล้านบาท และส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้ฯในปีถัดไป โดยล่าสุดในเดือน ก.ค.บริษัทได้รับงาน OEM ยุโรป สำหรับชุดแต่ง Toyota, Lexus มูลค่า 40 ล้านบาท และรับงานจากอิตาลีค่าย Fiat มูลค่า 60 ล้านบาท
"แม้อุตสาหกรรมยานยนต์ในปีนี้จะชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจ เนื่องจากเศรษฐกิจโลกยังไม่ฟื้นตัวตามที่คาดการณ์ แต่ในแง่ของการเติบโตของบริษัทฯไม่ได้ชะลอตาม เนื่องจากบริษัทเน้นการผลิตสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มค่อนข้างมาก ซึ่งจะทำให้มีอัตรากำไรสุทธิดีกว่าการรับจ้างผลิต อีกทั้งยังมีการผลิตโมเดลใหม่ที่ให้มาร์จิ้นสูง สัดส่วนรายได้มาจากการรับจ้างผลิต 75-80% ขณะที่สินค้ามูลค่าเพิ่มและการผลิตสินค้าโมเดลใหม่ มีสัดส่วนรายได้รวมกัน 20-25% ซึ่งสินค่ามูลค่าเพิ่มและโมเดลใหม่มีอัตรากำไรขั้นต้นที่ 40% สูงกว่าการรับจ้างผลิต"นายสมพล กล่าว
บริษัทมีแผนขยายการลงทุนเพิ่มอีกปีละ 5 สาขาภายใน 5 ปี ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างมองหาพันธมิตรร่วมทุนต่างประเทศ โดยสนใจประเทศตุรกี อินเดีย อเมริกา จีน และเม็กซิโก เพื่อเพิ่มแหล่งที่มาของรายได้ และกระจายความเสี่ยงการลงทุน สร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืนให้กับบริษัทและผู้ถือหุ้นในอนาคต ซึ่งล่าสุดมีพันธมิตร 2-3 รายสนใจติดต่อเข้ามา อย่างไรก็ตาม ยังไม่ได้ข้อสรุปในเรื่องของรูปแบบการลงทุน ซึ่งต้องพิจารณาให้รอบคอบ เพื่อประโยชน์สูงสุดของบริษัท
นายสมพล กล่าวถึงความร่วมมือกับ บมจ.อีสต์โคสท์เฟอร์นิเทค(ECF)และพันธมิตรเซ็น MOU ร่วมกันเพื่อลงทุนธุรกิจพลังงานไฟฟ้าชีวมวลว่า บริษัทเตรียมยื่นเสนอสัญญาซื้อขายไฟฟ้าในเดือน พ.ย.นี้ พร้อมตั้งเป้ากำลังการผลิตสูงสุด 120 เมกะวัตต์ โดยคาดว่าจะรู้ผล PPA ในช่วง ธ.ค.นี้ จากนั้นจะเริ่มก่อสร้างในเดือน ม.ค.59 ซึ่งจะใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 24 เดือน