“จริงๆ เขาจะเดินทางมาคุยกับเราสิ้นเดือนนี้ แต่เกิดระเบิดก่อนทำให้เขาเลื่อออกไป เพราะเขายังไม่แน่ใจสถานการณ์และความปลอดภัยในประเทศเรา ซึ่งเขาก็บอกเรามาว่าขอเลื่อนออกไปก่อน เราก็โอเค รูปแบบของธุรกิจที่จะร่วมทุนกันเป็นุรกิจด้านเซอรืวิส แต่ยังไม่ขอเปิดเผยรายละเอียด โดยการร่วมทุนครั้งนี้เราใช้เงินประมาณ 20-30 ล้านบาท ในการร่วมทุนกับพันธมิตร"นายทรงพล กล่าว
ด้านผลการดำเนินงานในปีนี้ บริษัทยังมั่นใจว่าจะพลิกกลับมามีกำไรได้ จากปีก่อนขาดทุน 10.67 ล้านบาท โดยตั้งเป้าอัตรากำไรสุทธิกลับมาที่ 1-2% ซึ่งเป็นผลมาจากการดำเนินนโยบายการลดต้นทุนและปรับปรุงประสิทธิภาพการบริหารงานภายในองค์กร ซึ่งทำให้ครึ่งปีแรกบริษัทมีกำไรสุทธิแล้ว 11.52 ล้านบาท
ขณะที่บริษัทคาดว่ายอดขายในครึ่งปีหลังจะใกล้เคียงหรือเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากครึ่งปีแรกที่ทำยอดขายได้ 1.37 พันล้านบาท โดยพบว่าพฤติกรรมของลูกค้าใช้เวลาตัดสินใจซื้อมากขึ้น ซึ่งในการขายผ่านช่องทางเทเลเซลล์ใช้ระยะเพิ่มขึ้นเป็น 6 นาที จากเดิม 5 นาที แต่สุดท้ายลูกค้าก็ยังคงซื้ออยู่ เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจไทยไม่ส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อในกลุ่มลูกค้าระดับกลาง-บน แต่ลูกค้าระดับล่างอาจได้รับผลกระทบบ้าง โดยเฉพาะกลุ่มเกษตรกร ทำให้สินค้าที่เจาะกลุ่มเป้าหมายลูกค้าระดับล่างมียอดขายไม่ดีนัก
อย่างไรก็ตาม บริษัทยังเน้นให้ทีมงานมีการขายให้เพิ่มมากขึ้น โดยการสร้างแรงจูงใจ และบริษัทยังมั่นใจเป้าหมายยอดขายในปีนี้เป็นไปตามเป้าที่ 2.88 พันล้านบาท ส่วนสาขาของบริษัทในสิ้นปีนี้คาดว่าอยุ่ที่ 80 สาขา จากปัจจุบัน 84 สาขา โดยมีการปิดบางสาขาที่ไม่สร้างยอดขายที่ดีให้กับบริษัทไป และเปิดสาขาในทำเลที่ดีเพิ่มขึ้น
นายทรงพล กล่าวว่า ภาพรวมธุรกิจโฮมช้อปปิ้งในปีนี้ยังมองว่าเติบโตได้ 20% หรือมาอยู่ที่ 7-8 พันล้านบาท แม้ว่าเศรษฐกิจในประเทศจะไม่ดี แต่การซื้อของลูกค้านั้นยังไม่ได้มีการลดลงตามมาก เนื่องจากผู้ประกอบการหลายรายในตลาดมีการทำโปรโมชั่นออกมามาจุงใจลูกค้าอย่างมาก ทำให้ลุกค้าเกิดความสนใจและมีการวื้อสินค้า แม้ว่าการทำโปรโมชั่นนั้นจะส่งผลกระทบต่อมารืจิ้นที่ลดลง แต่เพื่อเป็นการทำยอดขายให้ได้ตามเป้าหมายและเป็นการกระตุ้นยอดขาย ทำให้ผู้ประกอบการหลายรายมีการทำโปรโมชั่นออกมาอย่างหนัก