แนะนำให้ นักลงทุนสามารถซื้อทองแท่งได้ที่ราคา 18,000 - 18,500 บาท ราคานี้น่าลงทุนและไปขายทำกำไรในช่วงที่ราคาขยับขึ้น 300-700 บาทเพื่อทำกำไรระยะสั้น
"จากนี้ไปถึงปลายปี ไม่น่าจะมองว่าทองเป็นขาขึ้น ยังมองว่าเป็นขาลง แต่เป็น sideway up ไม่ใช่ sideway down ถ้าหากเฟดไม่ขึ้นดอกเบี้ยในเดือนกันยายน นักลงทุนก็จะเล่นกรอบบน 1,200 -1,230 เหรียญ/ออนซ์ อย่างไรก็ตาม ก็ต้องจับตาตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ ซึ่งจะผันผวนไปตามนั้น"นายบุญเลิศ กล่าว
นายบุญเลิศ ตั้งข้อสังเกตุว่า ในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิในตลาดหุ้นประมาณ 5-6 หมื่นล้านบาท มากกว่า ปี 57 ขณะที่ SET50 Index Futures ซื้อ short มาตลอด จนเมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้ว พบว่าสถานะคงค้างมีถึง 4 แสนสัญญา ถือว่าสุงสุดตั้งแต่เปิดตลาดอนุพันธ์ (TFEX) ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ว่านักลงทุนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะต่างชาติ มองตลาดหุ้นน่าจะมีโอกาสปรับตัวลงได้อีก จึงยังคงมี Net Short ที่ยังปิดสถานะ เนื่องจากมีทั้งปัจจัยในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งมองประเด็นสงครามค่าเงิน ขณะที่ปัจจุบันทองคำ ถูกมองว่าเป็น Low Risk Asset จากที่เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย
ด้านนายธนสิน กลีบลำเจียก Chief Commercial Officer บริษัท ออสสิริส จำกัด กล่าวว่า บริษัทมีโปรแกรมทองคำ ให้ลูกค้าสะสมทองคำ โดยจากสิ้นปี 57 มีบัญชีออมทองอยู่ที่ 2,200 -2,300 บัญชี ปัจจุบันเพิ่มขึ้นเป็น 3,000 บัญชี ถือว่าเพิ่มขึ้นทั้งเม็ดเงินผู้ออมอยู่แล้วและนักลงทุนใหม่ และคาดว่าสิ้นปีนี้ คาดว่าจะเพิ่มเป็น 3,600 บัญชี หรือ เพิ่มขึ้น 20% โดยค่าเฉลี่ยการออมอยู่ที่ 3,000 บาท/เดือน อย่างไรก็ตาม การลงทุนในทองคำของลูกค้า เป็นคนละตลาดกับลูกค้าตลาดหุ้น
นายจรณเวท ศักดิ์ศรี ผู้อำนวยการฝ่ายแนะนำการลงทุน บริษัท ออสสิริส จำกัด กล่าวว่า ในส่วน SET50 Index Futures ได้แนะนำให้ short มาตั้งแต่ดัชนี SET50 Index อยู่ที่ระดับ 900 จุด และยังคงแนะนำให้ short และหากถืออยู่ให้ถือต่อไปเพื่อทำกำไรในระยะต่อไป เพราะมองว่า ตลาดหุ้นยังมีความผันผวน จากปัจจัยทั้งในประเทศ และต่างประเทศ โดยในประเทศมีการส่งออกหดตัว การบริโภคลดลง การปรับลดคาดการณ์จีดีพีปีนี้เหลือโต 2.5% จากเดิมคาดโต 3% ซึ่งมองว่าเศรษฐกิจครึ่งปีหลังยังชะลอตัวและอาจทำให้ตลาดหุ้นมีโอกาสปรับลงต่อ
ส่วน Gold Futures แนะนำเปิดสถานะ long เพราะมองว่าน่าจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ไม่น่าจะลงต่ำกว่า 1,080 เหรียญ/ออนซ์