"LPN เชื่อว่าหลังจากตลาดอสังหาริมทรัพย์เริ่มฟื้นตัวกลับมา ผลจากการแข่งขันของผู้ประกอบการ จะสามารถตอบโจทย์และสร้างรายได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ได้เป็นอย่างดี ซึ่งคาดว่าหลังจากนี้โอกาสการแข่งขันทางการตลาดที่เพิ่มมากขึ้นจะส่งผลให้ภาพรวมเศรษฐกิจกลับมามีชีวิตชีวามากขึ้น"นายโอภาส กล่าว
นายโอภาส กล่าวว่า สำหรับรายได้จากการโอนฯในช่วง 7 เดือนแรกปีนี้มาจาก 4 โครงการไฮไลท์ ได้แก่ ลุมพินี เพลส สุขสวัสดิ์-พระราม 2 ลุมพินี เพลส ศรีนครินทร์ หัวหมาก-สเตชั่น ลุมพินี พาร์ค รัตนาธิเบศร์-งามวงศ์วาน และลุมพินี พาร์ค พระราม 9-รัชดา โดยเฉพาะเดือนก.ค. สามารถโอนกรรมสิทธิ์ได้สูงถึง 3 พันล้านบาท เป็นผลมาจากวิสัยทัศน์ในการพัฒนาโครงการ เพื่อสร้างโอกาสให้ลูกค้ามีบ้านหลังแรกในราคาที่เป็นเจ้าของได้ง่าย ทั้งการเลือกทำเลเชิงกลยุทธ์ คุณค่าผลิตภัณฑ์ภายใต้แนวคิด L.P.N.Design พร้อมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีตามกลยุทธ์ “ชุนชนน่าอยู่" จึงทำให้บริษัทสร้างผลงานได้เป็นที่น่าพอใจ บริษัทยังคงมียอดขายรอโอนกรรมสิทธิ์ (Backlog) สูงถึง 1.87 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นปี 58 ประมาณ 8.7 พันล้านบาท และปี 59 ประมาณ 1 หมื่นล้านบาท โดยขณะนี้บริษัทได้ทยอยโอนกรรมสิทธิ์อย่างต่อเนื่องภายใน 5 เดือนที่แล้ว อีก 2 โครงการ คือ ลุมพินี วิลล์ อ่อนนุช-ลาดกระบัง 2 และลุมพินี ทาวน์ชิป รังสิต-คลอง 1 (เฟส 1) ซึ่งบริษัทคาดว่าจะสามารถสร้างรายได้รวมในปีนี้ให้เป็นไปตามแผนงานอย่างแน่นอน ด้านภาพรวมครึ่งปีหลังปีนี้ คาดว่าการแข่งขันทางด้านการตลาดจะสูงขึ้น โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าลูกค้าสามารถตัดสินใจซื้อได้ทันที หากโครงการที่เลือกไว้แล้วมีกิจกรรมส่งเสริมการขายที่น่าพึงพอใจ ดังนั้น การจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายในแต่ละโครงการจึงถือเป็นปัจจัยสำคัญหลักแก่กลุ่มลูกค้าที่มีความพร้อมทางด้านการเงิน เพื่อนำมาพิจารณาก่อนตัดสินใจซื้อที่พักอาศัยของตนเองในภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้
ขณะที่ในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทเตรียมเปิดตัวงานขายอีก 5 โครงการใหม่ บนทำเลที่มากศักยภาพ คิดเป็นมูลค่าโครงการประมาณ 1 หมื่น ล้านบาท