แนวโน้มอันดับเครดิต “Positive" หรือ “บวก" สะท้อนถึงความคาดหวังว่าผลการดำเนินงานและสถานะทางการเงินของบริษัทจะยังคงอยู่ในระดับดีอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่แรงกดดันด้านต้นทุนน่าจะอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้ในภาวะที่ราคาวัสดุก่อสร้างทรงตัวในระดับต่ำ นอกจากนี้ ยังคาดว่าการลงทุนในโครงการเซอร์วิสอพาร์ตเมนท์จะไม่ส่งผลให้อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทเพิ่มขึ้นเกินกว่า 40% หรืออัตราส่วนหนี้ที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้นเกินกว่า 0.7 เท่า
อันดับเครดิตของบริษัทอาจปรับเพิ่มขึ้นได้หากบริษัทสามารถรักษาความสามารถในการแข่งขันและผลการดำเนินงานในธุรกิจก่อสร้างเอาไว้ได้ ในขณะที่ความสำเร็จในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ให้เช่าน่าจะช่วยเพิ่มความสามารถในการทำกำไรให้แก่บริษัท รวมถึงช่วยรักษาระดับรายได้ของบริษัทในระยะยาว
อันดับเครดิตของบริษัทอาจปรับลดลงได้หากสถานะการเงินของบริษัทด้อยลงอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งอาจเกิดจากต้นทุนการก่อสร้างที่สูงกว่าคาดหรือการขยายการลงทุนที่มากเกินไป
บริษัทซินเท็ค คอนสตรัคชั่นก่อตั้งในปี 2531 และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี 2536 บริษัทเป็นผู้ประกอบการรับเหมาก่อสร้างที่เน้นรับงานโครงการก่อสร้างอาคารสูงในภาคเอกชน บริษัทยังดำเนินกลยุทธ์กระจายความเสี่ยงทางธุรกิจไปยังธุรกิจให้เช่าเพื่อสร้างรายได้ประจำด้วย โดยในช่วงปลายปี 2556 บริษัทได้ซื้อสิทธิการเช่า Natural Ville Residence ซึ่งเป็นเซอร์วิสอพาร์ตเมนท์ที่ตั้งอยู่บนถนนหลังสวน โดยสิทธิการเช่าดังกล่าวมีอายุคงเหลือ 20 ปี
นอกจากนี้ บริษัทยังอยู่ระหว่างการพัฒนาโครงการเซอร์วิสอพาร์ตเมนท์อีก 3 แห่งในจังหวัดชลบุรีและปราจีนบุรีด้วย โดย Citadines Grand Central Sriracha ซึ่งเป็นโครงการแรกได้เปิดตัวไปในช่วงไตรมาสแรกของปี 2558 ส่วนโครงการที่เหลืออยู่ระหว่างรอการพัฒนา
อย่างไรก็ตาม รายได้จากธุรกิจรับเหมาก่อสร้างยังคงเป็นแหล่งรายได้หลักของบริษัทซึ่งกว่า 80% มาจากโครงการคอนโดมิเนียม ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา รายได้ของบริษัทอยู่ในระดับ 5,000-7,000 ล้านบาท ปัจจุบัน บริษัทและบริษัทอื่นๆ ที่อยู่ในธุรกิจรับเหมาก่อสร้างต่างก็ได้รับผลกระทบจากลักษณะที่ผันผวนของธุรกิจ ทั้งนี้ วัฏจักรของธุรกิจรับเหมาก่อสร้างได้รับผลกระทบจากธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เป็นสำคัญ ซึ่งความผันผวนของความต้องการที่อยู่อาศัยที่มีค่อนข้างสูงอาจจะกระทบต่อความมั่นคงของรายได้ของบริษัท
สถานะทางธุรกิจในระดับปานกลางของบริษัทสะท้อนถึงผลงานก่อสร้างโครงการอาคารสูงเพื่อที่พักอาศัยและเพื่อการพาณิชย์ในเขตกรุงเทพฯ โดยลูกค้าส่วนใหญ่ของบริษัทเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยซึ่งมีความน่าเชื่อถือในระดับที่ยอมรับได้ บริษัทมีการพึ่งพิงโครงการคอนโดมีเนียมของลูกค้าบางรายในระดับค่อนข้างสูง โดยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา บริษัทรับรู้รายได้จากโครงการของ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นลูกค้ารายสำคัญที่สร้างรายได้คิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 1 ใน 4 ของรายได้ต่อปี ในขณะเดียวกัน โครงการที่รับรู้รายได้สูงสุดของบริษัทในแต่ละปีคิดเป็นสัดส่วน 10%-15% ของรายได้
อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงจากการพึ่งพิงลูกค้าดังกล่าวได้รับการชดเชยด้วยลูกค้าที่มีความน่าเชื่อถือซึ่งมีความเสี่ยงจากการชำระเงินค่าก่อสร้างในระดับที่ยอมรับได้ นอกจากนี้ บริษัทยังสามารถรักษาฐานลูกค้าเดิมซึ่งใช้บริการของบริษัทบ่อยๆ เอาไว้ได้อย่างต่อเนื่อง
ปัจจุบันบริษัทมีงานที่ยังไม่ได้ส่งมอบมูลค่าราว 1 หมื่นล้านบาทซึ่งเป็นสถิติสูงสุด โดยงานที่ยังไม่ได้ส่งมอบของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากประมาณ 7.5 พันล้านบาทในปี 2557 และ 6.2 พันล้านบาทในปี 2556 ทั้งนี้ การเพิ่มขึ้นของมูลค่างานที่ยังไม่ได้ส่งมอบดังกล่าวซึ่งได้รับแรงหนุนจากโครงการคอนโดมิเนียมระดับกลางถึงบนจะช่วยประกันรายได้ประมาณ 80% ของประมาณการรายได้ของบริษัทในปี 2558 และ 50% ในปี 2559
บริษัทมีผลการดำเนินงานที่ฟื้นตัวดีขึ้นตั้งแต่ในปี 2556 ซึ่งสะท้อนจากการเพิ่มขึ้นอย่างมั่นคงของอัตราส่วนกำไร (อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้) หลังจากที่บริษัทเคยประสบปัญหาค่าก่อสร้างที่สูงกว่าคาดจากผลของอุทกภัยเมื่อปลายปี 2554 และนโยบายขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเมื่อเดือนเมษายน 2555 ทั้งนี้ อัตราส่วนกำไรของบริษัทอยู่ที่ 5.5% ในปี 2556 และ 9.3% ในปี 2557 ก่อนที่จะปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 10.6% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2558
บริษัทมีนโยบายทางการเงินที่ค่อนข้างระมัดระวังซึ่งสะท้อนจากการก่อหนี้ในระดับปานกลางและการมีสภาพคล่องที่เพียงพอ โดยบริษัทมีการถือครองสินทรัพย์สภาพคล่อง เช่น เงินสดและหลักทรัพย์ในความต้องการของตลาดในระดับค่อนข้างสูง อีกทั้งยังมีการติดตามความต้องการเงินทุนหมุนเวียนของแต่ละโครงการอย่างใกล้ชิด อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทอยู่ที่ 20%-30% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา โดย ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2558 อยู่ที่ 23.5% ในขณะที่อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมและอัตราส่วนกำไร (ก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย) ต่อดอกเบี้ยจ่ายก็ปรับตัวดีขึ้นเช่นเดียวกัน โดยอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 74.4% (ปรับอัตราส่วนให้เป็นตัวเลขเต็มปี) ในช่วงครึ่งแรกของปี 2558 เปรียบเทียบกับ 70.5% ในปี 2557 ในขณะที่อัตราส่วนกำไร (ก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย) ต่อดอกเบี้ยจ่ายเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 18.1 เท่าในช่วงครึ่งแรกของปี 2558 เปรียบเทียบกับ 13.8 เท่าในปี 2557
ในช่วงปี 2558-2561 ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีรายได้ในระดับ 7,000-8,000 ล้านบาทต่อปี ซึ่งรวมรายได้ค่าเช่าจากโครงการเซอร์วิสอพาร์ตเมนท์ 2 โครงการที่คาดว่าจะรับรู้เข้ามาราว 150 ล้านบาทในปี 2558 และเพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 300 ล้านบาทในปี 2561 หลังจากโครงการที่เหลือทั้งหมดก่อสร้างแล้วเสร็จ อัตราส่วนกำไรของบริษัทคาดว่าจะอยู่ที่ 7%-10% ส่งผลให้เงินทุนจากการดำเนินงานอยู่ที่ระดับประมาณ 400-600 ล้านบาทต่อปี
บริษัทมีแผนการลงทุนที่ระดับ 400-800 ล้านบาทต่อปีส่วนใหญ่จะใช้ลงทุนในโครงการเซอร์วิสอพาร์ตเมนท์ ซึ่งคาดว่าจะทำให้อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่น่าจะยังอยู่ในระดับไม่เกิน 40% สภาพคล่องคาดว่าจะอ่อนแอลงในช่วงก่อสร้างโครงการเซอร์วิสอพาร์ตเมนท์ แต่จะปรับตัวดีขึ้นหลังจากทุกโครงการแล้วเสร็จ โดยอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมคาดว่าจะอยู่ในระดับไม่ต่ำกว่า 20% ในขณะที่อัตราส่วนกำไร (ก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย) ต่อดอกเบี้ยจ่ายจะอยู่ในระดับไม่ต่ำกว่า 5 เท่าในช่วง 3 ปีข้างหน้า