แม้ว่าในปีนี้บริษัทคาดว่ายอดขายในประเทศอินโดนีเซียจะต่ำกว่าเป้าที่ตั้งไว้ 280 ล้านบาท แต่ก็เป็นผลมาจากแผนการดำเนินงานของบริษัทที่มีความล่าช้าออกไป จากเดิมที่คาดว่าจะจำหน่ายสินค้าในช่วงเดือน เม.ย.ปีนี้ ได้เลื่อนมาเริ่มจำหน่ายสินค้าในช่วงเดือน ก.ย.ปีนี้ ทำให้ยอดขายอาจจะไม่เป็นไปตามเป้า เนื่องจากการขออนุญาตเครื่องหมายฮาลาลในประเทศอินโดนีเซียใช้ระยะเวลานาน
นายตัน มั่นใจในปีนี้บริษัทจะมีกำไรสุทธิได้ตามเป้าหมายที่ 1.2 พันล้านบาท แม้อัตรากำไรสุทธิในปีนี้จะต่ำกว่าปีก่อนที่ 17% แต่มีโอกาสสุงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 14% หลังจากครึ่งปีแรกมีอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 16% โดยสาเหตุที่อัตรากำไรสุทธิในปีนี้ลดลง เนื่องจากบริษัทบริษัทยังมีการรับรู้ผลการขาดทุนของการส่งออกสินค้าเข้าไปในอินโดนีเซีย โดยประเมินไว้ที่ราว 60 ล้านบาทในปีนี้ ซึ่งเป็นไปตามภาวะของการลงทุนในต่างประเทศที่ช่วงแรกจะยังคงเผชิญกับผลขาดทุน
ประกอบกับการทำการตลาดของผลิตภัณฑ์ไบเล่ในปีนี้ที่บริษัทมีการทำการตลาดอย่างมาก โดยใช้งบกาตลาดของไบเล่ 70 ล้านบาท ซึ่งส่งผลให้ต้นทุนการขายและบริหาร (SG&A) มีการปรับตัวเพิ่มขึ้น ส่งผลกระทบต่ออัตรากำไรสุทธิในปีนี้
“ตัวกำไรที่เป็นเม็ดเงินเรามองว่าอย่างน้อยเราต้องทำได้ 1.05 พันล้านบาท ซึ่งมันก็น้อยกว่าปีก่อนเล็กน้อยที่ 1.07 พันล้านบาท เพราะว่าปีนี้เป็นปีแห่งการลงทุนทั้งในอินโดนีเซียที่เราก็คงขาดทุนอยู่ในปีแรก และการทำการตลาดไบเล่ที่ใช้งบการตลาดเยอะ ทำให้ต้นทุนการขายและบริหารเราเพิ่มขึ้น"นายตัน กล่าว
สำหรับรายได้บริษัทยังคงมั่นใจว่าเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 7.5 พันล้านบาท โดยครึ่งปีแรกบริษัทมีรายได้แล้ว 3.97 พันล้านบาท อีกทั้งในช่วงครึ่งปีหลังจะมีการเปิดตัวแคมเปญใหม่ คือ อิชิตันรหัสรวยเปรี้ยง ตอน ทอง หมื่น แสน ล้าน ในเดือน ก.ย.นี้เพื่อมาช่วยกระตุ้นยอดขาย นอกจากนี้ ยังจะมีการออกเครื่องดื่มรสชาติใหม่ รวมไปถึงการลดขนาดไบเล่ลง เพื่อปรับราคาขายเหลือขวดละ 10 บาทจากปัจจุบัน 13 บาท โดยปีนี้จะใช้งบทำการตลาดเฉลี่ย 14% ของยอดขาย ซึ่งจะเน้นในช่วงครึ่งปีหลัง
ส่วนผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/58 คาดว่าจะดีขึ้นจากไตรมาส 2/58 เนื่องจากบริษัทมีความหวังของคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ที่จะมาช่วยเร่งกระจายรายได้สู่กลุ่มรากหญ้า รวมไปถึงภาค SMEs ด้วย อย่างไรก็ตามปัจจัยดังกล่าว น่าจะมีผลช่วยกระตุ้นยอดขาย ของบริษัทให้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ