ขณะที่ทีมเศรษฐกิจชุดใหม่จะเริ่มเข้าทำงานในแต่ละกระทรวงโดยมีเป้าหมายจากนโยบายของนายกรัฐมนตรีในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้ดีขึ้นภายใน 3 เดือน และนอกจากนี้เรื่องของค่าเงินบาทที่อ่อนค่าจะเป็นตัวช่วยหนุนภาคการส่งออก เป็นปัจจัยบวกสำหรับตลาดหุ้นไทย
ในส่วนของปัจจัยลบมาจากเรื่องของเศรษฐกิจยังไม่ส่งสัญญาณฟื้นตัวชัดเจน ผู้บริโภคมีการจับจ่ายใช้สอยอย่างระมัดระวัง ภาคเอกชนชะลอการลงทุนเพื่อรอความชัดเจนทำให้การเบิกใช้สินเชื่อในภาพรวมชะลอตัวลง ประกอบกับนักลงทุนต่างชาติยังขายสุทธิหุ้นไทยในเดือนสิงหาคมซึ่งมียอดสะสมราว 3.8 หมื่นล้านบาท จากความกังวลเศรษฐกิจโลกชะลอตัว รวมถึงการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ ในการประชุมครั้งต่อไปวันที่ 16 – 17 กันยายนนี้
อย่างไรก็ดีในวันที่ 28 สิงหาคม ทางธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)จะมีการรายงานภาวะเศรษฐกิจไทยประจำเดือน รวมทั้งในสัปดาห์หน้าการเปิดเผยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตของสหรัฐ กลุ่มประเทศยูโรโซน และจีนที่บ่งชี้ถึงทิศทางแนวโน้มภาวะเศรษฐกิจ เป็นประเด็นที่น่าติดตาม
ด้านนายชัยยศ จิวางกูร ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.โกลเบล็ก จำกัด ประเมินกลยุทธ์การลงทุนใน SET ว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยมีลุ้นรีบาวด์ หลังจากที่ปรับลงแรงเมื่อต้นสัปดาห์ แต่การปรับขึ้นยังมีกรอบจำกัดจากปัจจัยลบในเรื่องตัวเลขเศรษฐกิจไทย ที่ยังไม่ฟื้นตัวชัดเจน และแรงขายจากนักลงทุนต่างชาติ ดังนั้นคาดว่า SET จะผันผวนในกรอบที่ 1,310 – 1,358 จุด
ทั้งนี้ แนะนำซื้อเล่นรีบาวด์ในกรอบดังกล่าว โดย Selective Buy กลุ่มหุ้นที่มีปันผลสูง เช่น KTB, ADVANC, INTUCH รองลงมาเป็น กลุ่มส่งออกซึ่งได้ประโยชน์จากค่าเงินบาทอ่อนค่า เช่น กลุ่มอาหาร แนะนำ CPF ,TUF และกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ได้แก่ KCE, DELTA, HANA ,SVI นอกจากนี้แนะนำ กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันลง เช่น กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง และสายการบิน รวมทั้ง กลุ่มท่องเที่ยวและโรงแรม หากไม่มีเหตุการณ์รุนแรงเพิ่มเติมมองว่าเป็นจังหวะซื้อสะสมในระยะยาว สำหรับแนวทางการลงทุนในทองคำ
นายสุทธิพงษ์ ศรีพรประเสริฐ นักวิเคราะห์การลงทุน บล.โกลเบล็ก จำกัด เปิดเผยว่า ราคาทองคำเริ่มปรับลงหลังจากปรับขึ้นแรงในสัปดาห์ก่อนหน้า การปรับลงเกิดจากแรงกดดันการแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐหลังธนาคารกลางจีนประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ระยะ 1 ปี ลง 0.25% มาอยู่ที่ 4.6% และได้ปรับลดอัตราการกันสำรองของธนาคารพาณิชย์ลง 0.50% รวมถึงข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐจากตัวเลขดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าคาด
ขณะที่กระแสคาดการณ์เรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) โดยนายเดนนิส ล็อคฮาร์ท ประธานเฟดสาขาแอตแลนตา คาดว่าเฟดมีแนวโน้มจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นในช่วงไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ แม้ว่าตลาดการเงินและเศรษฐกิจสหรัฐกำลังเผชิญกับแรงกดดันอยู่บ้างเป็นปัจจัยกดดันต่อราคาทองคำ
อย่างไรก็ตามความกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐจากการที่สำนักงานงบประมาณประจำสภาคองเกรส (CBO) ประกาศปรับลดคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐในปีนี้ลงสู่ระดับ 2% จากเดิมคาดการณ์ที่ 2.9% และจีนที่อาจจะประสบกับภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงหลังตลาดหุ้นปรับลงแรงอย่างต่อเนื่องยังเป็นปัจจัยหนุนต่อราคาทองคำเนื่องจากเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย
ดังนั้นประเมินราคาทองโลกมีโอกาส ปรับตัวลงต่ำกว่าแนวรับเส้น 5 วัน ด้วยการต่อยอดขาลงแท่งเทียนสัญญาณลบที่อยู่ในช่วงยอดของ V-SHAPE ขาลง ค่าสัญญาณทางเทคนิคปรับลง ทำให้ราคาแนวโน้มปรับลงต่อ อย่างไรก็ตามแนวหลักยังอยู่ในแนวโน้มขึ้นสอดคล้องกับการเรียงตัวเส้น 5 และ 10 วันที่เป็นแนวโน้มขึ้น ทำให้การลงจะไม่แรงมากและมีโอกาสสร้างฐานราคาเพื่อปรับขึ้นรอบใหม่ โดยให้แนวรับ 1,120 - 1,115 เหรียญต่อทรอยออนซ์ และ แนวต้าน 1,140 - 1,145 เหรียญต่อทรอยออนซ์