สำหรับปีนี้บริษัทยังคงเป้าหมายรายได้เติบโตราว 20-25% จากปีก่อนที่มีรายได้รวม 1,704.19 ล้านบาท โดยปัจจุบันบริษัทมีงานในมืออยู่ที่ 1,500 ล้านบาท คาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้ในปีนี้ราว 1,100 ล้านบาท ซึ่งในครึ่งปีหลังก็เชือว่าจะเติบโตได้ดีกว่าครึ่งปีแรกที่ทำรายได้ประมาณ 1,124 ล้านบาท ขณะที่สัดส่วนรายได้หลัก(ไม่รวมรายได้จากโครงการรื้อถอนโรงไฟฟ้า)จะมาจากกลุ่มธุรกิจผลิตและจัดจำหน่าย 69% และเทรดดิ้ง 13% ที่เหลือจะเป็นงานด้านบริการ
ขณะที่ในปี 59 จะเริ่มเห็นประสิทธิผลของการนำเงินจากการระดมทุนไปขยายธุรกิจ อย่างการขยายโรงงานผลิตจะสนับสนุนประสิทธิภาพการผลิตสวิตช์บอร์ดไฟฟ้า ซึ่งยังมีช่องว่างเพื่อขยายอัตราการใช้กำลังการผลิตอีกมาก ส่วนการเปิดสำนักงานขายใน 10 จังหวัด จะช่วยหนุนการสร้างยอดขายลูกค้าใหม่ในตลาดภูมิภาค
นายไพบูลย์ กล่าวว่า เงินระดมทุนที่ได้มาจากการเสนอขายหุ้น IPO บริษัทฯได้นำไปขยายกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีก 50% จากเดิมมีอัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ 70-80% ซึ่งจะใช้เงินลงทุนประมาณ 130 ล้านบาท ซึ่งจะใช้เงินลงทุนประมาณ 130 ล้านบาท คาดว่าจะแล้วเสร็จได้ในช่วงปลายไตรมาส 1/59 เพื่อรอรับออเดอร์ที่จะเข้ามาในอนาคต โดยบริษัทฯมีสัดส่วนงานเอกชน 80% ภาครัฐ 20%
นอกจากนั้นจะนำไปขยายสาขา หรือตั้งสำนักงานขายและบริการ โดยเน้นแนวชายแดน เช่น จ.อุบลราชธานี, อุดรธานี, ตาก เป็นต้น คาดว่าจะเริ่มดำเนินงานได้ในไตรมาส 3/58 ถึงกลางปี 59 จำนวน 10 สาขา ใช้เงินลงทุนรวม 30 ล้านบาท รวมถึงแบ่งส่วนหนึ่งใช้คืนเงินกู้จากสถาบันการเงินที่มีอยู่ 280 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน(D/E)ลดลงเหลือ 1 เท่า จากเดิม 1.8 เท่า และที่เหลือจะใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในบริษัทฯ
พร้อมกันนี้บริษัทฯยังอยู่ระหว่างศึกษาและแสวงหาพันธมิตรใหม่เพื่อลงทุนในธุรกิจต้นน้ำ เช่น ผลิตอุปกรณ์ส่งจ่ายไฟฟ้า สวิตช์บอร์ดไฟฟ้า รวมถึงอุปกรณ์อื่นที่เกี่ยวข้องกับงานวิศวกรรมระบบไฟฟ้า เพื่อลดต้นทุนการนำเข้าจากต่างประเทศ