ทริส คงอันดับเครดิตองค์กร UV ที่ระดับ “BBB" แนวโน้มPositive

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday August 28, 2015 17:40 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บมจ. ยูนิเวนเจอร์ (UV) ที่ระดับ “BBB" ด้วยแนวโน้ม “Stable" หรือ “คงที่"

อันดับเครดิตสะท้อนถึงแบรนด์ที่เป็นที่ยอมรับมากขึ้นในตลาดพัฒนาที่อยู่อาศัย ตลอดจนฐานทุนที่มีขนาดใหญ่ และการสนับสนุนจากผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท คือ บริษัท อเดลฟอส จำกัด (Adelfos) นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงการมีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายมากขึ้น โดยผลิตภัณฑ์ของบริษัทขยายไปยังตลาดบ้านจัดสรรระดับราคาปานกลางและสูงภายหลังการซื้อกิจการของ บมจ.แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ (GOLD) ในปลายปี 2555 และ บมจ.กรุงเทพบ้านและที่ดิน(KLAND) ในปลายปี 2557

ทั้งนี้ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงสถานะทางธุรกิจของบริษัทที่ได้รับแรงหนุนจากสัดส่วนของรายได้ค่าเช่าจากอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่าที่เพิ่มขึ้นอีกด้วย อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวถูกลดทอนลงบางส่วนจากอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนที่ค่อนข้างสูงจากการขยายธุรกิจและอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานที่ต่ำกว่าผู้ผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำส่วนใหญ่ นอกจากนี้ ในการพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงลักษณะของธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นวงจรขึ้นลงและมีการแข่งขันสูง ตลอดจนความกังวลในการเติบโตของเศรษฐกิจภายในประเทศที่ช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ และระดับหนี้ครัวเรือนที่สูงด้วย

แนวโน้มอันดับเครดิต “Positive" หรือ “บวก" สะท้อนถึงผลการดำเนินงานของบริษัทที่ดีขึ้นในแง่ของรายได้จากธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัย ทั้งนี้ อันดับเครดิตอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นหากบริษัทสามารถรักษาผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งเอาไว้ได้ในขณะที่ยังคงความสามารถในการทำกำไรให้ดีขึ้นและรักษาอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนให้ต่ำกว่า 55% หรือคงอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุนให้ต่ำกว่า 1.2 เท่าในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ในทางตรงข้าม อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจปรับลดลงหากผลการดำเนินงานและสถานะทางการเงินของบริษัทต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้อย่างมีนัยสำคัญ

UV ก่อตั้งในปี 2523 ในฐานะผู้ผลิตสังกะสีออกไซด์ และในปี 2543 ได้เปลี่ยนไปดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เป็นหลักโดยลงทุนในโครงการร่วมทุนกับผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ในปี 2550 Adelfos กลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทในสัดส่วน 51.6% ของหุ้นทั้งหมด และ ณ เดือนมีนาคม 2558 มีสัดส่วน 66.01% เจ้าของกิจการของ Adelfos คือทายาทรุ่นที่ 2 ของตระกูลสิริวัฒนภักดีซึ่งเป็นเจ้าของบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์หลายแห่งภายใต้กลุ่มทีซีซี

ผลิตภัณฑ์ของบริษัทขยายจากคอนโดมิเนียมซึ่งพัฒนาโดย บริษัท แกรนด์ ยูนิตี้ ดิเวลล็อปเมนท์ จำกัด (GUD) ไปสู่บ้านจัดสรรระดับราคาปานกลางในปลายปี 2555 เมื่อบริษัทซื้อกิจการของ GOLD ในสัดส่วน 50.64% ปัจจุบันบริษัทถือหุ้น GOLD ในสัดส่วน 55.73% เมื่อเดือนธันวาคม 2557 GOLD ได้ซื้อหุ้นทั้งหมดของ KLAND ด้วยราคาซื้อ 3,560 ล้านบาท ภายหลังจากการซื้อกิจการของ KLAND ทำให้สินทรัพย์รวมของบริษัทเพิ่มขึ้น 6,000 ล้านบาท และยังทำให้ผลิตภัณฑ์ของบริษัทขยายไปสู่ตลาดบ้านจัดสรรระดับราคาสูงอีกด้วย ณ เดือนมิถุนายน 2558 บริษัทมีโครงการที่อยู่อาศัยระหว่างการพัฒนา 25 โครงการ ซึ่งประกอบด้วยคอนโดมิเนียม 8 โครงการที่พัฒนาโดย GUD และบ้านจัดสรร 17 โครงการที่พัฒนาโดย GOLD และ KLAND โครงการของบริษัทมีมูลค่าเหลือขายรวมทั้งหมด 20,000 ล้านบาท (รวมทั้งที่ก่อสร้างแล้วและยังไม่ได้ก่อสร้าง)

ภายหลังการซื้อกิจการของ GOLD และ KLAND สัดส่วนของรายได้จากธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยคิดเป็นประมาณ 75% ของรายได้รวมของบริษัทในช่วงปี 2557 ถึงครึ่งแรกของปี 2558 รายได้จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่าคิดเป็นประมาณ 13% และจากธุรกิจสังกะสีออกไซด์คิดเป็นประมาณ 12% ของรายได้รวม รายได้รวมของบริษัทในปี 2557 เท่ากับ 9,127 ล้านบาท เติบโต 50% จากปีก่อน โดยรายได้จากธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นอย่างมากเป็น 6,043 ล้านบาทในปี 2557 จาก 3,745 ล้านบาทในปี 2556 ส่วนอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่ามีรายได้ประมาณ 1,200 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2556-2557

รายได้รวมของบริษัทในครึ่งแรกของปี 2558 เติบโตเป็น 6,075 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 2,760 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปี 2557 โดยรายได้จากธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นเป็น 4,716 ล้านบาทในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2558 ซึ่งเป็นผลมาจากรายได้ของโครงการบ้านจัดสรรที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก ณ เดือนมิถุนายน 2558 บริษัทมียอดขายรอรับรู้รายได้มูลค่า 6,000 ล้านบาท โดย 80% ของยอดขายรอรับรู้รายได้มาจากโครงการคอนโดมิเนียม ยอดขายรอรับรู้รายได้เหล่านี้จะส่งมอบให้ลูกค้าในช่วงที่เหลือของปี 2558 ถึงปี 2560 ทั้งนี้ จากแผนการเปิดโครงการที่อยู่อาศัยจำนวนมาก รายได้รวมของบริษัทในช่วง 3 ปีข้างหน้าคาดว่าจะอยู่ที่ 15,000 ล้านบาทต่อปี โดยรายได้จากโครงการบ้านจัดสรรจะมีสัดส่วนอย่างน้อย 50% ของรายได้รวมตั้งแต่ปี 2558 เป็นต้นไป

อัตรากำไรจากการดำเนินงานซึ่งวัดจากอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้ของบริษัทอยู่ที่ 14% ในช่วงปี 2555-2556 และลดลงเหลือ 11% ในปี 2557 อัตรากำไรจากการดำเนินงานปรับดีขึ้นเป็น 14% ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2558 ทั้งนี้ อัตราส่วนดังกล่าวยังต่ำกว่าผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำส่วนใหญ่ ในภาวะตลาดที่อยู่อาศัยชะลอตัว ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะสามารถรักษาอัตรากำไรจากการดำเนินงานที่เกินกว่า 12% เอาไว้ได้ในช่วง 3 ปีข้างหน้า

อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทเท่ากับ 62% ณ เดือนธันวาคม 2557 และ 61% ณ เดือนมิถุนายน 2558 อัตราส่วนดังกล่าวคาดว่าจะลดลงจากระดับปัจจุบันตั้งแต่ปี 2559 เป็นต้นไปตามแผนของบริษัทที่จะให้เช่าช่วงอาคารสำนักงาน 2 แห่ง คือ Park Ventures Ecoplex และ Sathorn Square แก่กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่า (REIT) เงินที่ได้จากการให้เช่าช่วงแก่กองทรัสต์ดังกล่าวจะนำไปจ่ายคืนหนี้ประมาณ 6,500 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยลดภาระในการกู้ยืมได้ส่วนหนึ่ง ในขณะที่อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนคาดว่าจะอยู่ในระดับต่ำกว่า 60% แม้ว่าบริษัทจะมีการขยายธุรกิจก็ตาม

กระแสเงินสดของบริษัทปรับตัวดีขึ้น โดยอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมเพิ่มขึ้นเป็น 8% (ปรับเป็นอัตราส่วนเต็มปีด้วยตัวเลข 12 เดือนย้อนหลัง) จาก 4%-5% ในช่วงปี 2556-2557 ทั้งนี้ สภาพคล่องทางการเงินของบริษัทได้รับแรงหนุนจากวงเงินสินเชื่อที่ยังไม่ได้เบิกใช้และไม่ติดเงื่อนไขในการเบิกมูลค่าประมาณ 5,400 ล้านบาท ณ เดือนมิถุนายน 2558


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ