ขณะเดียวกันคาดว่าอัตรากำไรสุทธิเฉลี่ยทั้งปีจะอยู่ใกล้เคียงกับครึ่งปีแรกที่ 19.35% ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 14.63% ในปีก่อน เป็นผลมาจากต้นทุนวัตถุดิบที่ปรับตัวลดลง ประกอบการที่โรงงานท่อร้อยสายไฟใต้ดินชนิดอีพ็อกซีเรซินเสริมใยแก้ว ที่เริ่มผลิตแล้ว ช่วยให้ต้นทุนในการผลิตลดลงด้วย
นายธานินทร์ กล่าวว่า บริษัทคงเป้ารายได้ปีนี้เติบโตไม่ต่ำกว่า 20% มาที่ราว 1.2 พันล้านบาท จากการทยอยรับรู้งานในมือ(Backlog)ที่ปัจจุบันมีอยู่ราว 240 ล้านบาท และคาดว่าจะมีงานใหม่ทยอยเข้ามาอย่างต่อเนื่องทั้งจากภาครัฐฯและเอกชน โดยปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างเข้าประมูลงานระบบท่อจากรถไฟฟ้าสายสีแดง คาดว่าจะเห็นความชัดเจนในปีนี้
"ปีนี้เราคาดว่ากำไรสุทธิจะทำนิวไฮ หลังต้นทุนการผลิต และราคาวัตถุดิบที่ปรับตัวลดลง ช่วยให้อัตรากำไรสุทธิของบริษัทฯปรับตัวสูงขึ้น ในขณะที่แนวโน้มรายได้เองก็ยังมีการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง แม้อุตสาหกรรมการก่อสร้างจะดูว่าชะลอตัว แต่เราก็ยังได้รับงานทั้งภาครัฐฯและเอกชนเข้ามา ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มคอนโดฯราคาแพง และโครงการโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐฯ"นายธานินทร์ กล่าว
นายธานินทร์ กล่าวต่อว่า บริษัทฯยังคงเป้าการเติบโตของรายได้ไม่น้อยกว่า 10-15% ต่อปีในระยะยาว โดยบริษัทฯได้หันมาเน้นการเพิ่มส่วนแบ่งในตลาดมากขึ้น โดยเฉพาะตลาดท่อร้อยสายไฟที่บริษัทฯมีสัดส่วนรายได้ถึง 50% ซึ่งตลาดดังกล่าวมีมูลค่ารวมอยู่ 1.5-1.6 พันล้านบาท
นอกจากนี้บริษัทฯยังอยู่ระหว่างพิจารณาธุรกิจใหม่ ที่เกี่ยวเนื่องกับท่อระบบในอาคารที่เป็นธุรกิจหลักของบริษัทฯอยู่ โดยบริษัทฯคาดว่าจะเริ่มเห็นผลิตภัณฑ์ใหม่ในปี 59-60 ขณะที่ปีนี้บริษัทจะยังไม่มีการลงทุนขนาดใหญ่ โดยปัจจุบันมีอัตราการใช้กำลังการผลิตเหลืออยู่ 20-30% ซึ่งยังเพียงพอต่อการขยายตัวอีก 1-2 ปี