ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาความเจริญได้ขยายมายังถนนสุขุมวิทในโซนกลางของกรุงเทพฯ เช่น พระโขนง และ อ่อนนุช (ตอนต้น) มากขึ้น จากข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 1 สิงหาคม 2558 ของบริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ที่รับบริหารโครงการในบริเวณนี้ รวมกว่า 2,600 ห้องชุด พบว่ามีผู้พักอาศัยทั้งหมดราว 88% ซึ่งถือเป็นอัตราการอยู่อาศัยที่สูงมากถ้าเทียบกับบริเวณอื่นๆ ในกรุงเทพฯ
อย่างไรก็ตามแม้พื้นที่นี้เดิมมีแต่คนไทยอยู่ แต่ปัจจุบันมีจำนวนชาวต่างชาติเข้ามาพำนักพักอาศัยมากขึ้นทุกปี ทำให้ปัจจุบันมีจำนวนผู้พักอาศัยทั้งหมดในสัดส่วนของคนไทยต่อคนต่างชาติคือ 70:30 อีกทั้งชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในบริเวณนี้มาจากหลากหลายสัญชาติแตกต่างจากบริเวณพร้อมพงศ์/ทองหล่อ ที่ผู้เช่าส่วนใหญ่เป็นชาวญี่ปุ่น โดยชาวเอเชียมีการอยู่อาศัยมากที่สุดที่ 47% รองลงมาคือชาวยุโรปที่ 35% และชาวอเมริกันที่ 14% อย่างไรก็ตามในบริเวณนี้ก็มีชาวญี่ปุ่นอาศัยอยู่เหมือนกันประมาณโครงการละ 30 ห้อง ซึ่งชี้ชัดให้เห็นว่าคอมมูนิตี้ของชาวญี่ปุ่นก็เริ่มขยับขยายออกมาบ้างแล้ว
อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าทำเลที่ดีที่สุดของตลาดคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ รวมถึงได้รับความนิยมมากที่สุดยังคงเป็นสุขุมวิทตอนต้น เนื่องจากเป็นทำเลที่เป็นถิ่นฐานอยู่อาศัยของผู้ดีเก่า มีชื่อเสียงและมีการพัฒนามาเป็นเวลานาน เป็นถนนที่เชื่อมต่อไปยังแหล่งช็อปปิ้งชั้นนำของประเทศจนทำให้คนนำถนนสุขุมวิทไปเปรียบเทียบกับ Fifth Avenue ของนิวยอร์กหรือ Oxford Street ของลอนดอน และ Orchard Road ของสิงคโปร์ นอกจากการช็อปปิ้งแล้ว สุขุมวิทยังเป็นที่ตั้งของสำนักงานชั้นนำต่างๆ โรงเรียน และโรงพยาบาลชั้นนำของประเทศที่มีจำนวนชาวต่างชาติเข้ามาใช้บริการเป็นจำนวนมาก อีกตัวแปรหนึ่งที่สำคัญ ที่ทำให้สุขุมวิทเจริญเติบโตแซงบริเวณอื่นๆ ก็คือคอมมูนิตี้ของชาวญี่ปุ่นในประเทศไทย
ดังนั้นนักลงทุนจึงหันมาซื้อคอนโดมิเนียมในบริเวณนี้เพื่อปล่อยเช่าให้กับชาวญี่ปุ่น จนทำให้พื้นที่นี้มีผู้อยู่อาศัยมากกว่าครึ่งเป็นผู้เช่า และสัญชาติของผู้เช่านั้นมากกว่าครึ่งเป็นชาวญี่ปุ่น อย่างไรก็ตามเมื่อที่อยู่อาศัยในบริเวณนี้หนาแน่นจึงทำให้ผู้ต้องการที่อยู่อาศัยไม่ว่าจะเป็นการซื้อผู้อยู่เอง การซื้อเพื่อลงทุน หรือการเช่าเพื่ออยู่อาศัย ต้องเริ่มหาที่อยู่อาศัยในทำเลอื่นบ้าง สำหรับบนเส้นสุขุมวิทนั้นถ้าย้อนกลับเข้าไปในเมืองไม่ว่าจะเป็น เพลินจิต ชิดลม ต่อไปจนถึงจุดตัดของถนนวิทยุและราชดำริ นั้นราคาก็จะยิ่งขยับตัวสูงขึ้นไปอีก
ล่าสุดจากการเปิดตัวโครงการ เดอะ ไลน์ สุขุมวิท 71 ของบริษัทร่วมทุนระหว่างบมจ.แสนสริ (SIRI)กับ บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS) เมื่อวันที่ 8-9 สิงหาคมที่ผ่านมานั้น ปรากฏว่าห้องชุดทั้งโครงการสามารถขายหมดได้ภายในวันเปิดตัว ซึ่งถือเป็นเรื่องที่แปลกใหม่มากสำหรับการเปิดคอนโดมิเนียมในบริเวณนี้ สะท้อนให้เห็นความต้องการที่อยู่อาศัยที่มีมากขึ้นทุกวันในบริเวณนี้ได้เป็นอย่างดี อีกทั้งในด้านของธุรกิจการค้า โรงแรมและห้างร้านต่างๆก็ได้ทยอยเข้ามาเปิดบริการในบริเวณนี้มากขึ้น เช่น ศูนย์การค้า W District, Art Gallery และ โรงแรม Boutique ต่างๆ เช่น โรงแรม The Mustang Nero ซึ่งเป็นโรงแรมที่มีการออกแบบที่สวยงามและแปลกตา ต่างจากโรงแรมทั่วไป นอกจากนี้ โรงเรียนนานาชาติ Bangkok Prep ก็กำลังก่อสร้างแคมปัสใหม่ในบริเวณ T77 ของกลุ่มแสนสิริที่ตอนต้นของถนนอ่อนนุช
โดยบริเวณเดียวกันนี้เองแสนสิริ จะทำการเปิดโครงการคอมมูนิตี้อมอลล์ แห่งแรกของบริษัทในนามฮาบิโตะ (Habito) ในปี 2559 จากการที่พื้นที่บริเวณนี้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องใน 2-3 ปีที่ผ่านมาและจำนวนผู้อยู่อาศัยที่สูง ทำให้คาดว่าทำเลนี้จะได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในเวลาอันใกล้นี้อย่างรวดเร็ว
ส่วนผลตอบแทนจากการลงทุนในระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมาราคาคอนโดมิเนียมมีการขยับไปกว่า 50% แล้ว โดยโครงการที่อยู่ในเกรดที่ดีและได้รับความนิยมจะมีราคาขายต่อตารางเมตรที่ประมาณ 100,000 บาท ในด้านของค่าเช่าราคาเช่าเฉลี่ยอยู่ที่ 450-600 บาทต่อตารางเมตร ทำให้ผลตอบแทนจากการลงทุนปัจจุบันจะอยู่ที่ประมาณ 5-7% ซึ่งถือว่าสูงกว่าหลายๆโซนในกรุงเทพฯที่บางพื้นที่ราคาขยับไปกว่า 100,000 บาทต่อตารางเมตรแต่ค่าเช่ายังขยับไม่ถึงเดือนละ 400 บาทต่อตารางเมตร
ดังนั้น สำหรับผู้ที่ต้องการที่อยู่อาศัยเพื่ออยู่เองแล้ว บริเวณนี้ถือว่าน่าสนใจเพราะการเดินทางสะดวกมีรถไฟฟ้าผ่านแถมยังมีระยะทางไม่ไกลจากจุดศูนย์กลางของกรุงเทพฯ ที่สำคัญราคาอสังหาริมทรัพย์ยังขยับไปไม่มากเหมือนโซนอื่นๆ สำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนนั้น สิ่งที่ต้องคำนึงอย่างแรกเลยก็คือความหนาแน่นของการพักอาศัย ซึ่งเป็นตัวชี้วัดว่าจะปล่อยเช่าได้หรือไม่ ซึ่งบริเวณนี้มีอัตราการอยู่อาศัยสูงถึง 88% จึงไม่น่าเป็นห่วง และอีกปัจจัยที่ต้องคำนึงก็คือผลตอบแทนการปล่อยเช่าหรือ Yield ซึ่งค่าเฉลี่ยของพระโขนง-อ่อนนุช (ตอนต้น) อยู่ที่ 5-7% นับว่าเป็นตัวเลขที่ดีพอสมควร สำหรับผู้ที่ซื้อโครงการไปก่อนหน้านี้ช่วงที่ราคาขายยังอยู่ที่ 60,000-70,000 บาทต่อตารางเมตรเมื่อ 4-5 ปีที่แล้ว เพราะได้รับอัตราผลตอบแทนการเช่าที่สูงถึง 9%