อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคาดว่าทั้งปีนี้จะทำกำไรสุทธิได้ แม้ครึ่งปีแรกจะมีผลขาดทุนสุทธิ 48.19 ล้านบาท หากราคาเหล็กในช่วงครึ่งปีหลังไม่ลดลงไปอีกไม่ถึง 10% จากปัจจุบันราคาอยู่ที่ 16 บาท/กิโลกรัม เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนราคาเหล็กอยู่ที่ 22.50 บาท/กิโลกรัม ขณะที่บริษัทสามารถบริหารจัดระบบสินค้าคงคลังได้ดีขึ้นด้วย
"ราคาเหล็กที่ลดลงมาในระดับปัจจุบันที่ 16 บาท/กิโลกรัม ถือว่าลดลงมาแตะระดับที่ขาดทุนแล้ว จะเห็นได้จากโรงงานในจีนก็เริ่มปิดตัวลง และเราก็มีได้รับผลกระทบพอสมควร ซึ่งในครึ่งปีแรกรายได้ติดลบไป 4% และยังประเมินไม่ได้ว่าราคาเหล็กจะลดลงไปอีกหรือไม่ เนื่องด้วยราคาน้ำมันก็ปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ครึ่งปีหลังนี้เราน่าจะมีผลการดำเนินงานที่เป็นบวกได้ คงไม่เห็นการติดลบ ยกเว้นในกรณีที่ราคาเหล็กกระชากลงอย่างรุนแรง แต่บริษัทยังยืนยันที่จะจ่ายปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้น แม้ว่าจะมีผลติดลบก็ตาม แต่ยังไม่ได้พิจารณาว่าจะจ่ายได้เท่าไหร่ ซึ่งเรายังมีกำไรสะสมอยู่ราว 700 ล้านบาท ขณะที่ปกติมีนโยบายการจ่ายปันผลราว 70% ของกำไรสุทธิ"นางสาวธิติมา กล่าว
นางสาวธิติมา คาดว่าปริมาณขายเหล็กปีนี้ลดลง 10% มาอยู่ที่ 2.9 แสนตัน จากดิมที่น่าจะอยู่ที่ 3.2 แสนตัน เป็นผลจากความต้องการบริโภคเหล็กทั่วโลกลดลง รับผลกระทบจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ซึ่งจะเห็นได้ว่าจีน ซึ่งเป็นผู้บริโภคเหล็กที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีสัดส่วนการบริโภคราว 50% มีการบริโภคลดลง 1% คิดเป็นจำนวน 4 ล้านตัน
ขณะที่บริษัทได้ปรับลดสัดส่วนการส่งออกในประเทศออสเตรเลียลงเหลือ 3-5% ตามความต้องการใช้ที่ลดลง และความผันผวนของค่าเงิน อย่างไรก็ตามบริษัทจะกลับมาเน้นทำยอดขายในประเทศทดแทน โดยเฉพาะในต่างจังหวัดที่มีความต้องการมากขึ้น ซึ่งสัดส่วนยอดขายจากต่างจังหวัดขยับเพิ่มขึ้นเป็น 35-40% จากเดิมไม่ถึง 20%
นอกจากนี้มองว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ในครึ่งปีหลังนี้น่าจะส่งผลดีต่อความต้องการใช้เหล็ก จากความเชื่อมั่นของนักลงทุนมีมากขึ้น ก็จะทำให้ปริมาณขายเหล็กสามารถเติบโตไปได้