ปัจจุบัน บริษัทมีกระแสเงินสดอยู่ราว 10,000 ล้านบาท และมีหนี้สินต่อทุน (D/E) 0.3 เท่า ฉะนั้น จึงมีความพร้อมในด้านเงินทุนที่แข็งแกร่งเพื่อลงทุนในธุรกิจใหม่ๆได้อีกมาก
สำหรับผลการดำเนินงานในครึ่งปีหลังนี้ คาดว่าจะมีทิศทางเป็นบวก หลังจากครึ่งปีแรกผลดำเนินงานติดลบราว 152 ล้านบาท เนื่องจากขณะนี้ธุรกิจเดินเรือเห็นได้ว่าดัชนีค่าระวางเรือเริ่มกลับเข้าสู่จุดคุ้มทุนที่ 8,500 ล้านเหรียญ/วัน/ลำแล้ว จากปัจจุบันค่าระวางเรือของบริษัทฯอยู่ที่ 6,400 ล้านเหรียญ/วัน/ลำ แต่ยังสูงกว่าอุตสาหกรรมที่อยู่ในระดับ 6,000 ล้านเหรียญ/วัน/ลำ
ขณะที่บริษัทย่อย อย่าง บมจ.เมอร์เมด มาริไทม์ ยังมีงานในมือ(backlog)รวมถึงสัญญาระยะยาว ซึ่งในช่วงในไตรมาส 2/58 ผลประกอบการยังสมารถเติบโตได้ดี จากปัจจัยบวกตามฤดูกาล และการกลับมาทำงานตามปกติของเรือวิศวกรรมใต้ทะเล 3 ลำหลังเข้าซ่อมบำรุงตั้งแต่ไตรมาส 1/58
ด้าน บมจ.พีเอ็ม โทรีเซน เอเชีย โฮลดิ้งส์ (PMTA) ทำยอดขายทั้งในประเทศและต่างประเทศได้ดีขึ้น ซึ่งการส่งออกในปีนี้ถือว่าจะมากขึ้น จากฤดูฝนที่ดีเลย์ ทำให้ความต้องการผลิตภัณฑ์ปุ๋ยมีแนวโน้มความต้องการเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังนี้ อีกทั้งมีการขยายโรงงานปุ๋ย เพื่อขยายฐานการส่งออกไปยังประเทศแอฟริกาได้มากขึ้น โดยคาดว่าสัดส่วนการส่งออกจะขยับเพิ่มเป็น 50% จากเดิมอยู่ที่ 40% ในปีนี้
ส่วนบมจ.ยูนิค ไมนิ่ง เซอร์วิสเซส (UMS) ยังคงเผชิญภาวะขาดทุนต่อเนื่อง จากปริมาณการขายถ่านหินที่ลดลง