นอกจากนี้ค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินสกุลยูโร และดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลดีต่อบริษัทในฐานะผู้ส่งออก เพราะยอดขายหลักมาจากการส่งออก 80-90% อีกทั้งมองว่าภาพรวมเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังมีความชัดเจนมากขึ้น จากการที่ภาครัฐบาลเตรียมมาตรการออกมากระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งจะส่งผลดีต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัท
ขณะที่มั่นใจว่าปริมาณการขายถังแก๊สจะเป็นไปตามเป้าหมายที่ 4.67 ล้านใบ หรือเติบโต 15-20% จากปีก่อน เป็นผลจากความต้องการใช้ก๊าซปิโตรเลียมเหลว(LPG) ดีขึ้นต่อเนื่องจากราคา LPG ที่ลดลง ทำให้ปริมาณการใช้ถังบรรจุขยายตัวตามไปด้วย แต่ในส่วนรายได้คงจะทำไม่ได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 3.4 พันล้านบาท โดยคาดว่ารายได้ปีนี้คงจะอยู่ที่ราว 3 พันล้านบาทใกล้เคียงปีก่อน เนื่องจากราคาขายที่ลดลง ส่งผลให้ราคาขายต่อหน่วยลดลง อย่างไรก็ตามบริษัทยังตั้งเป้าหมายที่จะมีอัตรากำไรสุทธิในปีนี้มากกว่าปีก่อนที่ 9.17%
"เราคาดว่ากำไรสุทธิปีนี้จะเติบโตก้าวกระโดจากปีก่อน หลังเราได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีไตรมาส 2/58 ที่ผ่านมา และค่าเงินบาทที่อ่อนค่าทำให้คำสั่งซื้อเริ่มกลับมา หลังจากที่ในช่วงครึ่งปีแรกคำสั่งซื้อได้ชะลอออกไป ซึ่งปีนี้เรายังมั่นใจว่าปริมาณขายจะเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยปัจจุบันเรามีออเดอร์ในมือที่จะรับรู้ในช่วงที่เหลือของปีนี้แล้ว 800-900 ล้านบาท"นายสุรศักดิ์ กล่าว
นายสุรศักดิ์ กล่าวว่า สำหรับการรุกตลาดในต่างประเทศ บริษัทยังคงบริหารงานโดยมุ่งเน้นให้ความสำคัญกับการขยายตลาดใหม่ ๆ ในต่างประเทศเพิ่มเติม เพื่อสร้างการเติบโตอย่างมั่นคงให้กับธุรกิจ โดยเฉพาะในแถบประเทศที่กำลังพัฒนาในโซนแอฟริกา และเอเชีย เนื่องจากยังมีความต้องการใช้ LPG เติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสอดคล้องกับภาพรวมเศรษฐกิจในหลายประเทศที่ขยายตัว ประกอบกับราคา LPG ในตลาดโลกเริ่มปรับตัวลดลง ทำให้ผู้ประกอบการปรับเปลี่ยนหันมาใช้ LPG เป็นเชื้อเพลิงมากขึ้น จึงมองว่าเป็นโอกาสในการขยายฐานสร้างรายได้ให้กว้างยิ่งขึ้น
ขณะเดียวกันคาดว่าภายในไตรมาส 3/58 บริษัทจะได้รับใบอนุญาตมาตรฐานถังขนาดใหญ่ 420 ลิตร จากประเทศสหรัฐอเมริกา และในสหภาพยุโรป โดยจะเริ่มส่งสินค้าไปจำหน่ายได้ในช่วงไตรมาส 4 เป็นต้นไป โดยเบื้องต้นตั้งเป้าส่งออกถังเดือนละ 1,250 ใบ หรือคิดเป็นมูลค่ามากกว่า 100 ล้านบาท/ปี
นอกจากนี้การขยายกำลังการผลิตโรงงานถังซ่อมที่คาดว่าจะใกล้เสร็จในช่วงปลายปีนี้ จะส่งผลที่ชัดเจนต่อยอดขายและกำไรในปีหน้า