ASP มองแนวโน้มรายได้-กำไรปีนี้ลดลง มาร์เก็ตแชร์ร่วงจากแข่งขันสูง

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday September 3, 2015 18:02 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บล.เอเชีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (ASP) กล่าวว่า บริษัทฯมองแนวโน้มความสามารถในการทำกำไร-รายได้ปีนี้น่าจะไม่ถึงเป้าหมายที่เคยตั้งไว้ว่าจะอยู่ในระดับ 10-15% จากปีก่อนที่ทำได้ 2,767.96 ล้านบาท และ 827.88 ล้านบาท ตามลำดับ

โดยในครึ่งปีแรกบริษัทฯผลการดำเนินงานออกมาทรงตัว เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องด้วยรับผลกระทบจากสภาวะเศรษฐกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศที่ชะลอตัว ส่งผลต่อตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลง และปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันก็ลดลงตาม ทำให้บริษัทฯมีการปรับลดคาดการณ์ปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันมาอยู่ที่ 30,000-40,000 ล้านบาท จากเดิมคาดอยู่ที่ 45,000 ล้านบาท

ทั้งนี้การแข่งขันด้านราคาในอุตสาหกรรมบริษัทหลักทรัพย์ก็สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ส่วนแบ่งการตลาดของบริษัทฯ ณ ปัจจุบันปรับตัวลดลงเหลือ 1.87% จากสิ้นปีก่อนที่อยู่ระดับ 3.86% หรือลดลงจากอันดับที่ 10 มาอยู่ที่อันดับ 26 อย่างไรก็ตามยืนยันว่า บริษัทฯ ไม่มีนโยบายแข่งขันด้านราคา เพราะจะเน้นด้านบริการมากกว่า โดยล่าสุดปรับกลยุทธ์ด้วยการจำกัดการเข้าถึงบทวิเคราะห์ของบริษัทฯ ที่ต้องเป็นสมาชิกเท่านั้น ซึ่งหลังจากเริ่มโครงการดังกล่าวเมื่อ 1 ก.ย.ที่ผ่านมาปรากฎว่ามีนักลงทุนเข้ามาเปิดบัญชีกับบริษัทฯ ถึง 70 รายและน่าจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง สะท้อนว่านักลงทุนให้ความสนใจกับบริการด้านบทวิเคราะห์ของบริษัทฯ โดยจะพัฒนามาตรฐานให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ปัจจุบันบริษัทฯ มีอัตราค่าคอมเฉลี่ย 0.1880% สูงกว่าอุตสาหกรรมที่ 0.1317%

สำหรับงานวานิชธนกิจปัจจุบันบริษัทฯ มีดีลในมือทั้งสิ้น 39 รายการ แบ่งเป็นงานที่ปรึกษาทางการเงินด้านการเข้าลงทุนหรือเข้าซื้อกิจการ 15 รายการ และงานนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรพัย์ (IPO) 24 บริษัท โดยจะเข้าซื้อขายในปีนี้ 2 บริษัท ได้แก่ "เถ้าแก่น้อย" และ "เจ แอสเซ็ส" ส่วนที่เหลือจะทยอยเข้าจดทะเบียนจนถึงปี 60

ส่วนภาวะตลาดหุ้นไทยช่วงที่เหลือของปีจะยังคงผันผวน และมองว่ายังไม่ถึงจุดต่ำสุด จากดัชนีหุ้นไทยอ่อนไหวตามหุ้นกลุ่มใหญ่ โดยเฉพาะพลังงาน ซึ่งยังมีความไม่แน่นอนเกี่ยวกับราคาน้ำมัน ดังนั้นแนะนำให้นักลงทุนเลือกหุ้นพื้นฐานดีรายตัว ไม่ควรซื้อขายโดยอิงดัชนีฯ ที่สำคัญต้องมีการกระจายความเสี่ยงให้หลากหลาย โดยในส่วนของบริษัทฯ ก็ได้ปรับลดพอร์ตการลงทุนของบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ (Prop Trade) ให้สอดคล้องกับสภาพตลาดที่ยังประเมินได้ยาก

นอกจากนี้ประเมินว่าเม็ดเงินลงทุนของต่างชาติจะยังคงทยอยขายออก จนกว่าธนาคารกลางสหรัฐ (FED) จะประกาศขึ้นดอกเบี้ยอย่างเป็นทางการ แต่เชื่อว่าจะปริมาณคงไม่มากนัก เพราะได้มีการขายออกไปพอสมควรแล้วตั้งแต่ต้นปี


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ