ขณะที่เดินหน้าทุ่มงบวิจัยและพัฒนา (R&D) เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันและมาร์จิ้นผลิตภัณฑ์ โดยในปีหน้าตั้งงบ R&D เพิ่มเป็น 6.8 พันล้านบาท จากราว 4.9 พันล้านบาท ในปีนี้
“ดีมานต์ซีเมนต์ช่วงครึ่งปีแรกเป็น 0% เรามั่นใจว่าครึ่งปีหลังจะเป็นบวก แต่เรายังคงคาดการณ์เติบโตที่ 3% ไว้ก่อน เพื่อรอดูความชัดเจนของมาตรการรัฐก่อน ซึ่งเรายังมองว่าน่าจะเข้าถึงผู้บริโภคได้โดยตรง ในรอบ 6 เดือนแรกปีนี้ภาครัฐก็เป็นผู้ใช้ซีเมนต์มากถึง 11%...จากนี้ไปเชื่อว่าจะค่อยๆดีขึ้น"นายกานต์ กล่าว
นายกานต์ กล่าวว่า การประชุมคณะกรรมการเมื่อเร็วๆนี้ได้อนุมัติงบ R&D ในปี 59 ที่ระดับ 6.8 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 4.9 พันล้านบาทในปีนี้ หรืออยู่ที่ราว 1% ของยอดขาย และคาดว่าในปี 60 จะเพิ่มเป็น 1.5% ของยอดขายมาอยู่ที่กว่า 8 พันล้านบาท ซึ่งเป็นการลงทุนทั้งในทุกธุรกิจทั้งซีเมนต์ เคมีภัณฑ์ และบรรจุภัณฑ์ เพื่อพัฒนาขีดความสามารถการแข่งขัน และการเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ของสินค้ากลุ่มบริษัทให้สูงขึ้น โดยผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงดังกล่าวช่วยเพิ่มมาร์จิ้นให้กับบริษัทได้มากขึ้นด้วย
สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานในปีนี้ บริษัทยังคงเป้าหมายการทำกำไรสุทธิในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ จากส่วนต่าง(สเปรด)ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีที่ดีขึ้นมาก หลังในช่วงไตรมาส 2/58 สเปรดพุ่งขึ้นถึงกว่า 800 เหรียญสหรัฐ/ตัน ขณะที่ในช่วงไตรมาส 3 จะอ่อนตัวตามฤดูกาล แต่ในช่วง 2 เดือนแรกของไตรมาส ปรากฎว่าสเปรดอ่อนตัวลงจากไตรมาส 2 เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ขณะที่ธุรกิจอื่นๆทั้งซีเมนต์ และบรรจุภัณฑ์จะเติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไป
นอกจากนี้ยังเป็นการเติบโตจากในกลุ่มอาเซียนด้วย ซึ่งเป็นไปตามแผนการขยายงานของกลุ่มบริษัท โดยในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ ยอดขายเข้าไปในอาเซียนและยอดขายจากฐานผลิตในอาเซียนของกลุ่มบริษัท มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 23% จาก 21% ในช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่สัดส่วนยอดขายภายในประเทศลดลงมาที่ 61% จาก 63% ในช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนที่เหลือเป็นสัดส่วนการส่งออกไปยังประเทศต่างๆทั่วโลก
สำหรับในส่วนของยอดขายของบริษัทในปีนี้ จะลดลงจากระดับ 4.88 แสนล้านบาทในปีก่อน ซึ่งเป็นผลจากราคาปิโตรเคมีที่ปรับตัวลดลงตามราคาน้ำมัน ขณะที่ยอดขายปิโตรเคมีนับเป็นสัดส่วนราว 50% ของยอดขายของกลุ่ม ซึ่งเมื่อราคาลดลงราว 30% ในช่วงที่ผ่านมาก็มีผลกระทบต่อยอดขายรวมทั้งหมด
นายกานต์ ยังกล่าวด้วยว่า สำหรับภาวะเศรษฐกิจจีนที่มีแนวโน้มชะลอตัวลงนั้น ยังไม่ได้ส่งผลต่อกลุ่มบริษัทในขณะนี้ โดยจีนยังเป็นผู้นำเข้าสุทธิของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีอยู่ และกลุ่มบริษัทกลับมียอดส่งออกไปจีนเพิ่มขึ้นด้วย อาจจะเป็นเพราะตลาดและชนิดของผลิตภัณฑ์ที่เป็นที่ต้องการของจีน