บลจ.กสิกรฯส่งกอง K-BANKING ผลตอบแทนอิงดัชนีหุ้นกลุ่มธนาคาร ขาย 7-11 ก.ย.

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday September 4, 2015 15:42 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นางสาวธิดาศิริ ศรีสมิต รองกรรมการผู้จัดการ บลจ.กสิกรไทย เปิดเผยว่า ในระหว่างวันที่ 7-11 กันยายน 2558 บลจ.กสิกรไทย จะเปิดเสนอขายกองทุนเปิดเค ดัชนีหุ้นธุรกิจธนาคาร (K-BANKING) มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท โดยกองทุนมีนโยบายลงทุนในหุ้นที่เป็นส่วนประกอบของดัชนีธุรกิจธนาคารโดยเฉลี่ยไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ และมีกลยุทธ์การบริหารกองทุนในเชิงรับ (Passive Fund) โดยมุ่งเน้นสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับดัชนีธุรกิจธนาคารในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมากที่สุด ซึ่งหุ้นในกลุ่มดังกล่าวประกอบด้วยหุ้นธนาคารพาณิชย์ 11 บริษัท ได้แก่ BAY, BBL, CIMBT, KBANK, KKP, KTB, LHBANK, SCB, TCAP,TISCO, TMB

กองทุน K-BANKING เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่สามารถยอมรับความเสี่ยงและความผันผวนจากการลงทุนได้ในระดับสูง และมีเวลาติดตามสถานการณ์การลงทุนได้ด้วยตนเอง โดยมีค่าธรรมเนียมการซื้อและการขายคืนหน่วยลงทุนที่ค่อนข้างต่ำ และกองทุนไม่มีนโยบายการจ่ายเงินปันผล ซึ่งผลที่ได้รับจากหุ้นที่ลงทุนจะสะท้อนอยู่ในมูลค่าหน่วยลงทุน โดยผู้ลงทุนสามารถจับจังหวะทำกำไรในระยะสั้นได้ตามการเคลื่อนไหวของดัชนีหุ้นกลุ่มธุรกิจธนาคาร รวมถึงโอกาสสร้างผลตอบแทนในระยะยาวจากการเติบโตอย่างมั่นคงไปพร้อมกับธุรกิจธนาคาร

ปัจจุบันหุ้นในดัชนีธุรกิจธนาคารมีมูลค่าตลาดสูงเป็นอันดับ 2 ในดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ด้วยมูลค่าตลาดรวม 1.96 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 15.14% รองจากหุ้นในกลุ่มพลังงานและสาธารณูปโภค (ข้อมูล ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2558) โดยหุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ นับว่ามีบทบาทสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจ เนื่องจากเป็นภาคธุรกิจที่มีการเติบโตไปพร้อมกับเศรษฐกิจของประเทศ ถึงแม้ว่าอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในครึ่งปีแรกจะชะลอตัวลงอยู่ในระดับ 2.9% อย่างไรก็ตามการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นมูลค่า 1.36 แสนล้านบาทของทีมเศรษฐกิจชุดใหม่ของรัฐบาล ภายใต้การนำของ ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ จะมีส่วนช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจได้ในไตรมาสที่ 4

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเศรษฐกิจในครึ่งปีแรกของปี 2558 จะชะลอตัวลง แต่สินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบยังสามารถขยายตัวได้ประมาณ 1.7% เมื่อเทียบกับ ณ สิ้นปี 2557 ขณะที่ผลประกอบการธนาคารพาณิชย์ครึ่งปีแรกอยู่ในระดับทรงตัว โดยมีกำไรเพิ่มขึ้น 0.70% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ส่วนกรณีสัดส่วนตัวเลขหนี้เสีย (NPL) ของธนาคารพาณิชย์ในไตรมาส 2 ของปี 2558 ที่ออกมาเพิ่มสูงขึ้นที่ 2.38% เปรียบเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อนหน้าที่ 2.28% คาดว่าจะไม่กระทบต่อเสถียรภาพทางการเงินของธนาคารพาณิชย์ เนื่องจากในภาพรวมถือว่าหนี้เสียยังอยู่ในระดับต่ำ โดยข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทยระบุว่า ปัจจุบันธนาคารพาณิชย์มีอัตราการกันสำรองสูงถึง 165.1% ของอัตราสำรองตามกฎหมาย จึงมองว่าธนาคารพาณิชย์ไทยยังมีฐานะการเงินที่ค่อนข้างแข็งแกร่ง

ในภาวะที่อัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ ธนาคารพาณิชย์ส่วนใหญ่ได้หันมาเร่งพัฒนาเทคโนโลยีการให้บริการ และนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ อยู่ตลอด ทำให้สัดส่วนรายได้ของค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2555 จนถึงปัจจุบัน นอกจากนี้การเปิดเสรีทางการเงินและการพัฒนาระบบการเงินในอาเซียน (AEC) จะช่วยส่งเสริมให้เกิดการออกไปลงทุนในต่างประเทศ พร้อมทั้งเกิดการเชื่อมโยงทางการเงิน รวมถึงจะช่วยลดต้นทุนการดำเนินการ และเป็นปัจจัยสนับสนุนด้านราคาและผลกำไรของหุ้นกลุ่มธนาคารให้สามารถเติบโตเพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ในช่วงที่ผ่านมา หุ้นในกลุ่มธนาคารที่ปรับตัวลดลงมา ทำให้ปัจจุบันมีระดับราคาที่น่าสนใจสำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนในระยะกลางถึงยาว ขณะที่ภาพการลงทุนในระยะสั้นยังมีความผันผวน เนื่องจากผลการดำเนินงานของกลุ่มธนาคารพาณิชย์มีความสัมพันธ์กับสภาพเศรษฐกิจของประเทศค่อนข้างสูง อย่างไรก็ตามตัวเลขการคาดการณ์ของตลาดจากการรวบรวมของ Bloomberg ได้ประมาณการอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิ (P/E Ratio) ของหุ้นในกลุ่มธนาคารปี 2558 นี้อยู่ที่ประมาณ 9.7 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปี ที่ประมาณ 11.2 เท่า

สำหรับผู้ลงทุนที่สนใจกองทุนเปิดเค ดัชนีหุ้นธุรกิจธนาคาร (K-BANKING) สามารถลงทุนได้ด้วยเงินลงทุนขั้นต่ำเพียง 5,000 บาท


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ