ขณะเดียวกันบริษัทยังอยู่ระหว่างประมูลงานใหม่อีก 13 โครงการ มูลค่า 64,260 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการพลังงาน มูลค่า 15,300 ล้านบาท โครงการอุตสาหกรรมปิโตรเคมี มูลค่า 43,860 ล้านบาท และอื่นๆอีก 5,100 ล้านบาท โดยคาดว่าในช่วงที่เหลือของปีนี้จะรู้ผลการประมูล 3 โครงการ มั่นใจว่าจะได้งานไม่ต่ำว่า 6,000 ล้านบาท
นายกอบชัย กล่าวว่า สำหรับเงินลงทุนในธุรกิจโรงไฟฟ้าในเมียนมาร์จะอยู่ที่ราว 400-500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จะมาจากการนำบริษัท Thai Power Holding Pte.Ltd (TTPHD) เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ หรือตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) โดยปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างพิจารณาถึงความเหมาะสม และคาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในช่วงต้นปี 59 และจะสามารถจดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์ได้ในช่วงปลายปี 59 ทันที โดยคาดว่าจะระดมทุนผ่านตลาดหลักทรัพย์ราว 200-300 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
สำหรับความคืบหน้าโรงไฟฟ้าถ่านหินในเมียนมาร์ขนาดกำลังผลิต 1,280 เมกะวัตต์ ในช่วงเดือนเม.ย. ที่ผ่านมาบริษัทได้ลงนามสัญญากับรัฐบาลเมียนมาร์แล้ว โดยคาดว่าจะใช้งบลงทุนรวม 700-800 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แบ่งเป็นเงินลงทุนของบริษัทราว 400-500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในสัดส่วนการถือหุ้นที่ 60% ส่วนที่เหลือจะเป็นผู้ถือหุ้นจากประเทศญี่ปุ่น และรัฐบาลเมียนมาร์ 5% ซึ่งบริษัทคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างโครงการได้ในช่วงกลางปี 59 โดยจะใช้ระยะเวลาก่อสร้างราว 4-5 ปี
นอกจากนี้ บริษัทยังอยู่ระหว่าขอใบอนุญาตขายไฟฟ้าในประเทศญี่ปุ่น เพื่อก่อตั้งโครงการโรงไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ กำลังการผลิต 30 เมกะวัตต์ โดยคาดว่าจะรู้ผลในปีนี้ และจะสามารถเริ่มก่อสร้างภายในปี 59 จะใช้งบลงทุนราว 3 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ/เมกะวัตต์ และใช้ระยะเวลาการก่อสร้างราว 1 ปี สำหรับโครงการนี้บริษัทจะร่วมทุนกับพันธมิตรจากประเทศไทย ซึ่งบริษัทจะถือหุ้นไม่ต่ำกว่า 50%