"ครึ่งปีแรกที่ผ่านมาเราได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจไม่ดี โดยรายได้รวม 2 ไตรมาส ก็ทำได้ 350 ล้านบาท ขณะที่ไตรมาส 3/58 การเติบโตของรายได้น่าจะมีโอกาสขยายตัวมากขึ้นมาอยู่ในระดับใกล้เคียงกับครึ่งปีแรก จากปัจจุบันเรามีงานในมือราว 550 ล้านบาท ก็จะทยอยรับรู่ในไตรมาส 3 นี้จำนวนมาก ส่วนที่เหลือจะรับรู้ในไตรมาส 4/58 ทำให้ภาพรวมทั้งปีเรายังคงเป้าหมายรายได้ไว้ 1,000 ล้านบาทและกำไรสุทธิก็จะดีกว่าปีก่อน เป็นไปตามรายได้ที่เติบโตเพิ่มขึ้น"นายพูลพิพัฒน์ กล่าว
นายพูลพิพัฒน์ กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้ในปี 59 จะเติบโต 20% จากปีนี้ และจะเพิ่มเป็นระดับ 1,500 ล้านบาทในปี 60 หลังมีแผนที่จะขยายตลาดไปสู่ประเทศในภูมิภาคอาเซียน เช่น มาเลเซีย ลาว สิงคโปร์ โดยจะเข้าไปขยายฐานลูกค้าในส่วนของโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน ทั้งโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ และโรงไฟฟ้าชีวมวล ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ของอุปกรณ์หม้อแปลงไฟฟ้า อย่างไรก็ตามปัจจุบันบริษัทมีการส่งออกอุปกรณ์หม้อแปลงไฟฟ้าไปยังประเทศหลักๆ อย่าง ออสเตรเลีย มีสัดส่วนการส่งออกมากถึง 50% ของการส่งออก และล่าสุดก็ได้ขยายตลาดไปยังประเทศญี่ปุ่น มีสัดส่วนถึง 10% ของการส่งออก ส่วนที่เหลือเป็นการส่งออกไประเทศอื่นๆ ขณะที่ปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนยอดขายในประเทศอยู่ที่ 80% และยอดขายต่างประเทศที่ 20%
นอกจากนี้บริษัทมีแผนจะขยายฐานลูกค้าตลาดในประเทศ ในส่วนของภาคอสังหาริมทรัพย์ ในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล โดยเฉพาะประเภทอาคารที่พักอาศัยตามแนวรถไฟฟ้าเส้นทางต่างๆ รวมถึงการเข้าประมูลงานภาครัฐต่อเนื่อง ทั้งงานการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.), การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)
สำหรับแผนลงทุนโรงไฟฟ้าชีวมวล ซึ่งเป็นความร่วมมือกับบมจ.ยูเอซี โกลบอล (UAC) ในสัดส่วนการถือหุ้น 50:50 นั้นปัจจุบันยังอยู่ระหว่างการศึกษา โดยมีข้อสรุปของรูปแบบการลงทุนในเบื้องต้นว่า จะเป็นการเข้าไปซื้อกิจการโรงไฟฟ้าดังกล่าวที่ไม่สามารถดำเนินการได้ต่อหรือไม่มีเงินทุน ในพื้นที่ภาคตะวันตกของประเทศไทย อย่างไรก็ตามคาดว่าน่าจะเห็นความชัดเจนได้ภายในสิ้นปี 58 ซึ่งหากได้ข้อสรุปทันภายในปีนี้ ก็จะใช้ระยะเวลาในการดำเนินงานอีกประมาณ 6 เดือน และหลังจากนั้นก็จะสามารถจ่ายไฟฟ้าเข้าสู่ระบบได้ ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นช่วงปลายปี 59